Posts

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน บ้านหมุน เชียงใหม่ หูอื้อ

 

       โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีน้ำในหูชั้นในมากผิดปกติ เป็นเหตุให้รู้สึกเสียการทรงตัว (เกิดอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน) และการได้ยิน (เกิดอาการหูตึง แว่วเสียงดังในหู) ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว

 

อาการของ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน


       อาการหลักของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน คือ อาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่าอาการบ้านหมุน แต่ละครั้งมักเป็นอยู่นานเกิน 20 นาทีขึ้นไป ถึง 2 ชั่วโมง แล้วหายไปได้เอง และอาการจะกำเริบได้อีกเป็นครั้งคราว เป็นๆ หายๆ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการทุกวัน หรือนานๆ เป็นที โดยอาจทิ้งช่วงห่างกันเป็นสัปดาห์ ๆ หรือนานเป็นปี ซึ่งไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร นอกจากนี้ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก และอาจมีอาการตากระตุกร่วมกับอาการบ้านหมุนด้วย

 

  • ประสิทธิภาพการได้ยินลดลง มักพบในช่วงระยะแรกของโรค มักเป็นชั่วคราวโดยที่การได้ยินจะลดลงในช่วงเกิดอาการเวียนศีรษะ เมื่อร่างกายกลับสู่ภาวะปกติการได้ยินจะดีขึ้น แต่หากปล่อยให้โรคดำเนินไปมากขึ้น การได้ยินอาจเสื่อมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหูตึงหรือหูหนวกได้ในที่สุด
  • หูอื้อ แว่วเสียงดังในหู ซึ่งจะเกิดขึ้นในหูข้างที่ผิดปกติ มักเป็นพร้อมกับอาการบ้านหมุน อาจเป็นเฉพาะเวลาที่เวียนศีรษะหรืออาจเป็นอยู่ตลอดเวลาก็ได้
  • รู้สึกแน่นในหู ลักษณะหนักๆ หน่วงๆ คล้ายกับมีแรงดันในหู (ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหู และปวดศีรษะข้างที่เป็นร่วมด้วยได้)

 

การปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเมื่อเกิดอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน


  • รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่และถูกต้องตามหลักอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็มจัด ควบคุมปริมาณเกลือไม่ให้มากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงกาแฟ ช็อกโกแลต และอาหารที่มีคาเฟอีน
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนมากๆ เช่น ทำงานติดต่อกันนานเกินไป หรือออกกำลังกายหักโหมมากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น ความเครียด
  • ในรายที่เกิดอาการเวียนศีรษะทันทีโดยไม่มีอาการเตือน ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเสี่ยงอันตราย เช่น การขับขี่ยานพาหนะ การปีนป่ายที่สูง เป็นต้น

 

 

เราพร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อสุขภาพการได้ยินที่ดีของทุกคน

 

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook: m.me/hearingchiangmai
Line: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

 

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ เมดไทย

หูตึง สัญญาณ อาการหูตึง เชียงใหม่

 

หูตึง เป็นปัญหาการได้ยินที่คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้ตัวก็ต่อเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น และไม่ทันสังเกตตัวเอง ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้ ท่านสามารถตรวจเช็คอาการได้ด้วยของท่านเอง กับ 9 อาการดังนี้

 

9 อาการ สัญญาณเสี่ยงต่อ “หูตึง”

ตรวจเช็คอาการเข้าข่าย หูตึง ได้ดังนี้


หูตึง เสียงดังในหู

1. มีเสียงดังในหู บ้างหรือเปล่า?
      เสียงดังในหู (Tinnitus) เช่น เสียงจิ้งหรีด บางรายมีลมออกหู หรือหูอื้อ ส่วนมากเกิดกับคนที่อยู่กับเสียงดังบ่อยๆ เช่นคอนเสิร์ต ผับ โรงงานอุตสาหกรรม หากใครมีอาการเสียงดังในหูบ่อยครั้ง หรือจำเป็นต้องอยู่ในที่เสียงดังเป็นประจำ แนะนำให้ตรวจการได้ยินทุกปี ปีละ 1 ครั้ง

 

หูตึง ฟังไม่รู้เรื่อง

2. คนเยอะจัง ฟังไม่รู้เรื่องเลย!
      ทำอย่างไรดีฟังไม่รู้เรื่องเลย? เวลาไปร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือห้างสรรพสินค้า ในที่ที่ผู้คนจอแจ มีใครมีปัญหาในการได้ยิน และพูดคุยลำบากบ้าง หากท่านมีอาการแบบนี้ เราขอแนะนำให้ท่านลองตรวจการได้ยิน

 

หูตึง พูด อะไรนะ

3. อะไรนะ คำพูดเดิม ซ้ำๆ
      รู้จักใครที่มีคำพูดติดปากว่า “อะไรนะ?” รีบแสดงความห่วงใย แสดงความรักให้เขา ด้วยการบอกให้เขามาตรวจการได้ยินเลยนะ แต่อย่ามัวแต่ห่วงใยคนอื่น โดยลืมเช็คตัวเองล่ะ คุณหรือเปล่า ที่ชอบพูดว่า “อะไรนะ?”

 

หูตึง เสียงจากไหน

4. เสียงมาจากไหนเนี่ย?!
      หลายคนแยกไม่ออกว่าเสียงที่ได้ยินมาจากไหน มาจากหน้าบ้าน จากเสียงทีวี หรือจากคนคุยกัน แบบนี้เวลาไปอยู่กับคนเยอะๆ ยิ่งสื่อสารลำบาก

 

หูตึง เปิดเสียงดัง

5. จะเปิดเสียงดังไปถึงไหน?!
      คนในบ้านก็เริ่มถามละว่าทำไมเปิดทีวีเสียงดังจัง ขับรถกับเพื่อน ก็โดนบ่นว่าเปิดเพลงเสียงดังไป อาการแบบนี้ อาจกำลังสูญเสียการได้ยิน

 

หูตึง ฟังเสียงเด็ก เสียงผู้หญิงลำบาก

6. ลำบากจัง เสียงเด็กและเสียงผู้หญิง
      ถ้าการฟังเสียงเด็กและเสียงผู้หญิงเป็นเรื่องปวดหัว ก็เป็นอีกอาการว่ากำลังสูญเสียการได้ยิน เพราะเสียงเด็กหรือผู้หญิงจะมีระดับความถี่สูงกว่าผู้ชาย ซึ่งคนที่หูตึงในระยะเริ่มต้นมักจะสูญเสียการได้ยินในช่วงความถี่สูงก่อน รีบมาตรวจการได้ยิน ก่อนที่จะหูตึงไปมากกว่านี้นะ

 

หูตึง หูอักเสบ ขี้หู

7. หูอักเสบ หรือมีขี้หูเยอะไหมจ๊ะ?
      หูอักเสบบ่อยๆ จะทำลายหูชั้นกลางได้นะ จึงส่งผลต่ออาการหูตึงได้ง่ายมากขึ้น และบางคนที่มีขี้หูเยอะ ค้นหูบ่อยๆ ก็เสียงต่ออาการหูตึงด้วยเช่นกัน การตรวจการได้ยิน เลยเป็นสิ่งที่ควรทำทุกปี

 

หูตึง บ้านหมุน

8. บ้านหมุนบ้างป่าว?
      หูชั้นในมีส่วนสัมพันธ์กับการทรงตัว คนที่มีอาการหัวหมุนบ่อยๆ หรือบ้านหมุน จึงอาจเป็นอาการผิดปกติของหูชั้นใน ใครที่บ้านหมุนบ่อยๆ รีบไปตรวจการได้ยินล่ะ คงไม่สนุกหรอกมั้ง ที่จะนั่งรถไฟเหาะตลอดเวลา

 

หูตึง ฟังแล้วเหนื่อย

9. เหนื่อยจังเวลาเม้าท์มอย
      ไม่ใช่อาการเหนื่อยใจเวลาไปเม้าท์เรื่องชาวบ้านนะ แต่หมายถึงเวลาพูดคุยกับคนอื่น แล้วรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องตั้งใจฟังเพื่อจับใจความ บางครั้งต้องคอยบอกให้เพื่อนพูดเสียงดังฟังชัดอีก ถ้าเหนื่อยขนาดนี้ ก็มาตรวจการได้ยินด้วยกันเถอะ

 

 



เป็นอย่างไรกันบ้าง หากท่านพบอาการ 1 ใน 9 สัญญาณเตือนนี้

แนะนำท่านลองตรวจการได้ยิน เพื่อป้องกันการเสี่ยงหูตึงแต่เนิ่นๆ

 

 

ศูนย์สุขภาพการได้ยิน อินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
เฟซบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
ไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

บ้านหมุน รักษา

      หลายคนเคยเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุน รู้สึกว่ารอบตัวหรือสิ่งของที่มองเห็นหมุนไป หรือรู้สึกว่าตัวเองหมุนไป ทั้ง ๆ ที่ก็อยู่กับที่ หากมีอาการขึ้นมาก็ทรงตัวลำบาก เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่คาดคิดได้ บางคนมีอาการเป็นนาที บางคนมีอาการเป็นวัน ช่วงเวลาที่มีอาการต่างกัน ก็มาจากสาเหตุต่างกัน งั้นมาเข้าใจอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนกันดีกว่า

 

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ช่วงเวลาเป็น “วินาที”

      มักเกิดตอนเปลี่ยนท่าทาง เช่นขณะล้มตัวลงนอน ลุกจากที่นอน เงยหน้า ก้มเก็บของ มักมีอาการเป็นช่วงสั้น ๆ แค่ช่วงวินาที บางรายมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย อาจมีอาการตากระตุก ขณะเปลี่ยนท่าทางเร็ว ๆ

      ถือว่าเป็นอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุมาจาก โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (BPPV: Benign Paroxysmal Positioning Vertigo) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของหูชั้นใน จึงพบมากในผู้สูงอายุ

 

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ช่วงเวลาเป็น “นาที”

      มีอาการหลากหลาย นอกจากเวียนศีรษะบ้านหมุน อาจเกิดอาการปวดศีรษะ ปวดไมเกรนร่วมด้วย โดยจะมีอาการครั้งละหลายนาที แต่ไม่ถึงชั่วโมง

      สาเหตุเกิดจาก ก้านสมองขาดเลือดชั่วคราว (VBI: Vertebro Basilar Arterial Insufficiency) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของเลือดในบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของสมอง ทำให้เกิดความบกพร่องของระบบประสาท ซึ่งบกพร่องไม่เกิน 24 ชั่วโมง หากเกินกว่านี้จะถือว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

 

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ช่วงเวลาเป็น “ชั่วโมง”

      มักเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุนอย่างรุนแรง มีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเสียสมดุลร่างกาย อาจมีอาการนานเกิน 20 นาที ถึงหลายชั่วโมง นอกจากนี้อาจมีการได้ยินลดลง มีเสียงดังในหู บางครั้งอาจพบอาการหูอื้อด้วย

      สาเหตุเกิดจาก โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) เกิดจากความผิดปกติของน้ำที่อยู่ในหูชั้นใน ระหว่างที่เกิดอาการ ควรอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับศีรษะ เพราะอาจทำให้อาการเวียนศีรษะเพิ่มขึ้นได้

 

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ช่วงเวลาเป็น “วัน”

      มักมีอาการเวียนศีรษะรุนแรงและเป็นอยู่หลายวัน โดยส่วนมากมักมีการได้ยินที่ปกติ

      สาเหตุเกิดจาก หูชั้นในอักเสบ / ติดเชื้อไวรัส (Labyrinthitis / Vestibular Neuronitis) มักมีประวัติระบบทางเดินหายใจอักเสบมาก่อน ถ้าเชื้อไวรัสลามสู่หูชั้นใน จะทำให้เกิดการอักเสบ แต่หากอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบริเวณหูชั้นกลาง โรคหูน้ำหนวก แล้วลุกลามเข้าสู่หูชั้นใน อาการมักรุนแรง จนมีอาการสูญเสียการได้ยินร่วม

 

 

หากมีข้อสงสัยหรืออาการของโรค สามารถปรึกษาเราได้

ศูนย์สุขภาพการได้ยิน อินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

Tinnitus เสียงดังในหู

 

      เสียงดังในหู (Tinnitus) เป็นความผิดปกติทางหูที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตราย หรือเพราะเสียงดังในหูนั้นก่อให้เกิดความรำคาญจนนอนไม่หลับ

      ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้ยินเสียงดังเฉพาะตัวผู้ป่วยเอง ผู้อื่นไม่ได้ยินเสียงนี้ด้วย มักบอกว่าเสียงดังในหูนั้นคล้ายเสียงจักจั่น หรือจิ้งหรีดร้องอยู่ภายใน อาจเป็นเสียงวี๊ดๆ หึ่งๆ ซ่าๆ อาจมีอาการข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ มักได้ยินชัดขึ้นในเวลากลางคืนหรือในที่เงียบๆ ผู้ป่วยอาจมีเสียงดังในหูเพียงอย่างเดียว หรือบางคนมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หูอื้อ ปวดหู เวียนศีรษะ บ้านหมุน

 

ชนิดของ เสียงดังในหู


1. เสียงดังในหู ชนิดที่บุคคลภายนอกสามารถได้ยิน (Objective Tinnitus)

      หรือเสียงที่มีแหล่งกำเนิดเสียงจริงอยู่ภายในร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งบางครั้งผู้ที่ตรวจหรือคนอื่นอาจได้ยินด้วย เช่น

  • เสียงที่เกิดจากเส้นเลือดแดงโป่งพอง หรือมีการเชื่อมต่อผิดปกติกับหลอดเลือดดำ หรือวางอยู่ในตำแหน่งผิดปกติ ซึ่งพบได้ทั้งหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง โดยในกลุ่มนี้ เสียงที่ได้ยินมักจะเป็นเสียงความถี่ต่ำๆ และเสียงจะสัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจ มักดังขึ้นเมื่อออกกำลังกาย
  • เสียงดังในหูที่เกิดจากการหายใจเข้าหรือออก อาจเกิดจากความผิดปกติของท่อยูสเตเชี่ยน ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลาง และโพรงหลังจมูก

 

2. เสียงดังในหู ชนิดที่ผู้ป่วยได้ยินคนเดียว (Subjective Tinnitus)

      หรือเสียงที่มีการรับรู้ผิดปกติ โดยที่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นจริง มักเกิดจากความผิดปกติของประสาทหู รวมถึงสมองส่วนการรับเสียงและแปรผล โดยอาจเกิดจากทั้งอวัยวะดังกล่าวเสื่อม หรือเกิดจากภาวะเนื้องอกกดเบียด เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ของคนที่มีเสียงดังรบกวนในหู โดยเสียงที่ได้ยินมักจะเป็นเสียงความถี่สูง

       • หูชั้นใน สาเหตุที่พบได้บ่อยสุด คือประสาทหูเสื่อมจากอายุ นอกจากนั้นการเสื่อมของเส้นประสาทหู อาจเกิดจาก การได้รับเสียงที่ดังมากในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน (acoustic trauma) เช่น ได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด เสียงประทัด การได้รับเสียงที่ดังในระยะเวลานานๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป (noise-induced hearing loss) เช่น อยู่ในโรงงาน หรืออยู่ในคอนเสิร์ตที่มีเสียงดังมากๆ การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหูู (ototoxic drug) เป็นระยะเวลานาน เช่น aspirin salicylate aminoglycoside quinine การบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะแล้วมีผลกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน (labyrinthine concussion) การติดเชื้อของหูชั้นใน (labyrinthitis) เช่น ซิฟิลิส ไวรัสเอดส์ การผ่าตัดหูแล้วมีการกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน มีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

       • สมอง โรคของเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดออกในสมอง ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เนื้องอกในสมอง เช่น เนื้องอกของเส้นประสาทหู หรือประสาทการทรงตัว (acoustic neuroma)

       • สาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคเกล็ดเลือดสูงผิดปกติ โรคที่มีระดับยูริกในเลือดสูง โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตต่ำ โรคไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูง โรคต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้เกิดเสียงดังในหูได้

 

 

      เสียงดังในหู เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจมีสาเหตุจากประสาทหูเสื่อม หายได้เองหรืออยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต หรืออาจมีสาเหตุจากโรคที่อันตราย เช่น เนื้องอกของสมอง เส้นประสาท เส้นเลือดแดงโป่งพอง ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจเมื่ออาการเสียงดังในหู ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุของโรคและเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง ก่อนจะสายเกินแก้…

 

 

 


บริการทดสอบการได้ยิน นำผลพบแพทย์เพื่อขั้นตอนการรักษา

ศูนย์สุขภาพการได้ยิน อินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
Facebook: m.me/hearingchiangmai
Line Official: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai