Posts

เช็คสัญญาณปัญหาการได้ยิน-อาการหูตึง

 

        หูไม่ได้ยินหรือหูตึง ปัญหาการได้ยินที่คนส่วนมากมักมองข้ามและไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเริ่มสื่อสารกับผู้อื่นลำบากแล้ว

        อาการของการสูญเสียการได้ยินหรือหูตึง มีหลายระดับขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรง บางรายสูญเสียการได้ยินเล็กน้อยในหูทั้งสองข้าง บางรายสูญเสียการได้ยินรุนแรงในหูข้างเดียว หรือบางรายสูญเสียการได้ยินในแต่ละข้างไม่เท่ากัน ดังนั้นประสบการณ์การฟังย่อมแตกต่างกัน

 

เช็คสัญญาณอาการที่เข้าข่ายผู้มีปัญหาการได้ยิน

ตรวจเช็คอาการดังต่อไปนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมและหาวิธีป้องกันให้กับการได้ยินของคุณ


ดูทีวีเสียงดัง อาการหูตึง

  • เพื่อนหรือครอบครัวบอกว่าคุณเปิดทีวีหรือวิทยุดังเกินไป
  • คุณมีปัญหาในการทำความเข้าใจคำพูด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
  • คุณมีปัญหาในการสนทนาทางโทรศัพท์
  • คุณมีความรู้สึกว่าได้ยิน แต่ฟังไม่เข้าใจ
  • คุณไม่แน่ใจว่าเสียงมาจากทิศทางไหน
  • คุณมักจะขอให้ผู้อื่นพูดซ้ำๆ
  • คุณต้องพึ่งพาคู่สมรสหรือคนที่คุณรักเพื่อช่วยให้คุณได้ยิน
  • คุณพบว่าตัวเองกำลังหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคม
  • คุณรู้สึกอ่อนเพลียหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่เกิดจากความเหนื่อยล้าในการฟัง
  • คุณมีอาการเสียงดังในหู
  • คุณมีอาการหูอื้อ

 

     หากพบว่าตัวคุณเองมีปัญหาการได้ยินดังอาการที่กล่าวมานี้ กรณีเพิ่งเริ่มมีอาการ แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก เพื่อทำการรักษา หรือกรณีไม่แน่ใจว่าตัวคุณเองมีปัญหาการได้ยินหรือไม่ บางครั้งได้ยินดี แต่ในบางครั้งกลับไม่ได้ยิน

       แนะนำให้คุณตรวจการได้ยิน คุณจะทราบถึงระดับการได้ยินว่าอยู่ในระดับใด (dB) มีปัญหาการได้ยินในช่วงความถี่เสียงที่เท่าไหร่ (Hz) เพื่อให้คุณเตรียมความพร้อมและหาวิธีการป้องกันหรือวิธีการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยคุณสามารถเข้ารับบริการตรวจการได้ยินได้ที่โรงพยาบาล หรือศูนย์บริการเอกชนใกล้บ้าน

 

 

คุณสามารถตรวจการได้ยินประจำปีได้โดยไม่ต้องรอให้แพทย์สั่ง หรือรอให้ตัวคุณเองไม่ได้ยิน

 

    


ปรึกษาปัญหาการได้ยิน บริการตรวจการได้ยิน (Pure-Tone Audiometry)

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111

hearingchiangmai    Line: @hearingchiangmai

 

ขอบคุณข้อมูลจาก healthyhearing.com

หูตึง ป้องกัน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง หูฟัง หูหนวก หูดับ เครื่องช่วยฟัง

 

แท้จริงแล้ว ปัญหาการได้ยินหรืออาการหูตึง เราไม่สามารถป้องกันได้ 100% และจะพบว่าในบางรายมีสาเหตุเกิดจากประสาทหูเสื่อมตามวัย เช่น วัยชราหรือวัยสูงอายุ ซึ่งเป็นการเสื่อมที่ไม่สามารถป้องกันได้

 

แต่หากมาจากสาเหตุของการที่ต้องเจอ หรือสัมผัสกับเสียงดังเป็นเวลานานๆ และบ่อยครั้ง เราสามารถป้องกันได้ ดังนี้

 

5 วิธีป้องกันหูตึง ดังต่อไปนี้


 

1.  หลีกเลี่ยงเสียงดัง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สถานที่ไหนที่ต้องเผชิญกับเสียงดัง ก็ควรออกห่าง หลีกเลี่ยง หรือหาอุปกรณ์ป้องกัน เพราะไม่คุ้มเลยกับการที่เราจะมีปัญหาการได้ยินในอนาคต

 

แล้วจะสังเกตได้อย่างไร ว่าเสียงดังเกินไป?

  • คุณต้องพูดเสียงดังกว่าเดิม เพื่อให้คู่สนทนาเข้าใจ
  • คุณไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร
  • คุณรู้สึกปวดหู
  • มีอาการหูอื้อ หรือได้ยินเสียงอู้อี้

 

        ระดับความดังของเสียง จะถูกวัดออกมาเป็นค่าเดซิเบล (dB) ยิ่งเสียงดังมาก ค่าเดซิเบลยิ่งสูง เสียงที่ดังมากกว่า 85 เดซิเบลเป็นค่าที่สูงจนเสียงมีผลต่อการทำลายการได้ยิน จึงไม่ควรอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลานานๆ

 

ตัวอย่างระดับความดังของเสียง

  • เสียงกระซิบ – 30 เดซิเบล
  • เสียงพูดคุยทั่วไป – 60 เดซิเบล
  • เสียงการจราจรคับคั่ง – 70 ถึง 85 เดซิเบล
  • เสียงรถจักรยานยนต์ – 90 เดซิเบล
  • เสียงเพลงผ่านหูฟังในระดับสูงที่สุด – 100 ถึง 110 เดซิเบล
  • เสียงเครื่องบินกำลังขึ้น – 120 เดซิเบล

หรือคุณอาจลองใช้แอพในมือถือ ที่สามารถวัดระดับความดังของเสียง เพื่อเลี่ยงอยู่ในพื้นที่ที่ดังเกิน 85 เดซิเบลได้

 

2. ฟังเพลงแต่พอดี การฟังเพลงผ่านหูฟังถือว่าเป็นอันตรายต่อหูเป็นอย่างมาก จึงควรระมัดระวังในการฟัง ดังนี้

  • ฟังในระดับความดังที่พอดี ไม่ดังจนเกินไป ซึ่งปกติแล้วไม่ควรเกิน 60% ของความดังสูงสุด
  • ไม่ควรใช้หูฟังนานเกิน 1 ชั่วโมง หากจะใช้นานๆ ควรพักหูประมาณ 5 นาทีก่อนใช้ใหม่

แค่ลดระดับเสียงลดนิดหน่อย ก็ช่วยรักษาการได้ยินของคุณได้นานขึ้นได้

 

3. ป้องกันเวลาไปงานอีเวนท์ หากมีความจำเป็นต้องไปทำกิจกรรมหรือออกงานอีเวนท์ที่มีเสียงดัง เช่น คอนเสิร์ต สนามกีฬา ที่เที่ยวกลางคืน ควรป้องกันดังนี้

  • อยู่ห่างจากจุดที่มีเสียงดัง เช่น ลำโพงขยายเสียง
  • พยายามพักหู โดยการออกห่างจุดที่มีเสียงดัง ทุก 15 นาที
  • หลังจากกลับจากงานที่มีเสียงดัง ควรพักผ่อนอย่างเงียบๆ ประมาณ 18 ชั่วโมง
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน เช่น Earplug

 

4. ทำงานอย่างระมัดระวัง หากคุณต้องทำงานในที่ที่มีเสียงดังตลอดเวลา ควรคุยกับหัวหน้างานว่าจะมีผลต่อการได้ยินในอนาคต จึงควรให้ที่ทำงานช่วยป้องกันดังนี้

  • หากเป็นไปได้ ควรปรับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้มีเสียงดังลดน้อยลง
  • ไม่ควรอยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน เช่น Earplug

 

5. ตรวจการได้ยินสม่ำเสมอ โดยปกติแล้วควรตรวจการได้ยินทุกปี หรือหากรู้สึกว่ากำลังมีปัญหาการได้ยินก็ยิ่งรีบมาตรวจการได้ยินให้เร็วที่สุด  นักแก้ไขการได้ยินหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะได้ให้คำแนะนำอย่างถูกต้องให้กับคุณ

 

แค่ 5 ข้อง่ายๆ แค่นี้ ก็ช่วยรักษาการได้ยินให้อยู่กับคุณไปนานๆ ได้

 

 

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
Facebook: m.me/hearingchiangmai
Line: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

8 วิธี ชะลอประสาทหูเสื่อม

 

        ปัญหาการได้ยิน หรือการได้ยินบกพร่องเกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัยไม่เพียงแต่ในวัยผู้สูงอายุเท่านั้น และสำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยินอันเนื่องมาจากประสาทหูเสื่อม ควรหาสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ประสาทหูเสื่อมลงหรือเสื่อมเร็วขึ้นกว่าปกติ และควรป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น โดย

 

8 วิธี ชะลอความเสื่อมของประสาทหู


1. หลีกเลี่ยงเสียงดัง เช่น บริเวณที่มีการก่อสร้าง สถานบันเทิง เป็นต้น

2. ควบคุมโรคให้ดี หากเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคซีด โรคเลือด โรคเหล่านี้ทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหูน้อยลง ประสาทรับเสียงเสื่อมมากหรือเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น

3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู เช่น ยาแอสไพริน ยาควินิน

4. หลีกเลี่ยงอันตราย ที่อาจก่อให้อุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู เช่น การเล่นฟุตบอล กีฬาเทควันโด้

5. หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด ทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ

6. ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม (มีสารคาเฟอีน), งดการสูบบุหรี่ (มีสารนิโคติน) ซึ่งสารคาเฟอีนและสารนิโคติน ทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหูน้อยลง ทำให้ประสาทรับเสียงเสื่อมมาก หรือเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น

7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด วิตกกังวล

8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่

 

ชะลอความเสื่อมของ ประสาทหู

ประสาทหูเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมตามอายุ ไม่มีอันตรายร้ายแรงใดๆ แต่หากเสื่อมจากสาเหตุอื่น ควรพบแพทย์หู คอ จมูกเพื่อตรวจหาสาเหตุโดยเร็ว

 

 

ปรึกษาปัญหาการได้ยิน ได้ที่

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

5 เหตุผล คนไม่ยอมทดสอบการได้ยิน

 

       การทดสอบการได้ยิน หรือ การตรวจการได้ยิน (Hearing Test) เป็นการตรวจวัดสมรรถภาพการได้ยิน เพื่อหาระดับการได้ยินของหูทั้ง 2 ข้าง และเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของระบบการได้ยิน โดยระดับการได้ยิน “ปกติ” จะอยู่ระหว่าง -10 ถึง 25 เดซิเบล หากระดับการได้ยินมากกว่า 25 เดซิเบล ถือว่าการได้ยินของคุณมีความผิดปกติ และต่อไปนี้คือ

 

5 เหตุผล ที่คนส่วนมาก “ไม่ยอมทดสอบการได้ยิน”

 

1. ฉันยังเด็กเกินไปที่จะทำการทดสอบการได้ยิน


ทดสอบการได้ยิน Hearing Test

    คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการสูญเสียการได้ยิน มักเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุมากหรือในผู้สูงอายุ ซึ่งการสูญเสียการได้ยินยังสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม การเกิดอุบัติเหตุ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และการได้รับเสียงดังเป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุให้เกิดการสูญเสียการได้ยินเช่นกัน หากคุณสงสัยว่าตัวเองมีอาการสูญเสียการได้ยิน อย่าให้อายุเป็นตัวกำหนดการทดสอบการได้ยิน ทุกคนควรมีการทดสอบการได้ยินอย่างน้อย 1 ครั้ง

 

2. ฉันยังได้ยินเสียงดีอยู่


    สัญญาณเริ่มต้นของการสูญเสียการได้ยินมักจะสามารถชดเชยได้โดยการเพิ่มระดับเสียงขึ้น การเอนตัวเพื่อฟังการสนทนา หรือการขอให้คู่สนทนาพูดซ้ำ วิธีการเหล่านี้มีความเป็นไปได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาการได้ยิน คุณอาจคิดว่าผู้คนกำลังพูดเบาเกินไปหรือสภาพแวดล้อมของคุณมีเสียงดังเกินไป แต่ถ้าคนอื่นสังเกตเห็นความบกพร่องทางการได้ยินของคุณ หรือถ้าคนรอบข้างคุณไม่ตอบสนองต่อเสียงรบกวนเช่นเดียวกับคุณ คุณควรพิจารณาเข้ารับการตรวจเช็คการได้ยินของคุณ

 

3. ฉันอาย


    การสูญเสียการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ และคนส่วนมากมักจะอายกับการใส่เครื่องช่วยฟัง บางคนมีความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์เมื่อรู้ว่าต้องใส่เครื่องช่วยฟัง อย่างไรก็ตามการขอให้ผู้อื่นพูดซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเรื่องที่น่าอายและเกิดความรำคาญใจเช่นกัน

    ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของเครื่องช่วยฟังในปัจจุบัน ได้มีการออกแบบเครื่องช่วยฟังให้มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ขนาดเล็กกะทัดรัด และมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบที่แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ในเวลาที่คุณสวมใส่

 

4. ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร ฉันจำเป็นต้องให้แพทย์แนะนำมาตรวจก่อนหรือไม่?


    คุณสามารถนัดหมายการทดสอบการได้ยินด้วยตัวของคุณเอง และสามารถนัดหมายได้ทันทีเมื่อคุณสงสัยว่าการได้ยินของคุณลดลง คุณไม่จำเป็นต้องรอให้แพทย์ส่งตัวเพื่อทำการทดสอบการได้ยิน

 

5. ฉันไม่สามารถซื้อเครื่องช่วยฟังได้


    แม้ว่าเครื่องช่วยฟังอาจมีราคาแพง แต่ผู้ให้บริการเครื่องช่วยฟังหลายรายมีแผนการจ่ายเงินที่สามารถช่วยบรรเทาความกังวลทางการเงินของคุณได้ และเพื่อการได้ยินที่ดีอีกครั้ง รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

 

 

การสูญเสียการได้ยินมีความเชื่อมโยงถึงภาวะซึมเศร้าและสมองเสื่อมได้

 

 

ปรึกษาปัญหาการได้ยิน นัดหมายตรวจการได้ยิน

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook : m.me/hearingchiangmai
Line : line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

4 วิธีการสื่อสารกับผู้ใส่เครื่องช่วยฟัง

 

       การพูดคุยสื่อสารกับผู้ใส่เครื่องช่วยฟัง คู่สนทนาควรทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ใส่เครื่องช่วยฟังคือ ผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน การใส่เครื่องช่วยฟังจะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินนั้นกลับมาได้ยินอีกครั้ง ซึ่งการได้ยินจะชัดเจนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของประสาทหูที่คงเหลืออยู่

       นอกจากการได้ยินแล้วผู้ใส่เครื่องช่วยฟังยังมีเรื่องของการแปลความหมาย การจับคำพูดที่มักเป็นอุปสรรค ผู้ใส่เครื่องช่วยฟังจะเข้าใจในเรื่องที่สนทนาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การแปลความหมายของคำพูดด้วยเช่นกัน

 

การพูดคุยสื่อสารกับผู้ใส่เครื่องช่วยฟัง

คู่สนทนา ควรปฏิบัติด้วยความเข้าใจ 4 วิธี ดังนี้


 

1. พูดใกล้ๆ ช้าลงเล็กน้อย ระดับความดังปกติ

       คู่สนทนาจะต้องสนทนาใกล้ๆ และสนทนาในหูข้างที่เปอร์เซ็นต์การได้ยินคงเหลือมากที่สุด สนทนาช้าๆ ชัดๆ ในระดับความดังปกติ ไม่จำเป็นต้องสนทนาเสียงดัง หรือตะโกน

 

2. พูดต่อหน้า เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินมองเห็นหน้า และเห็นรูปปากชัดเจน 

       คู่สนทนาจำเป็นต้องสนทนาให้เห็นหน้า เนื่องจากผู้ใส่เครื่องช่วยฟังบางรายมีเปอร์เซ็นต์การแปลความหมายของคำพูดเหลือน้อย อาจจะต้องใช้การมองรูปปากร่วมกับการฟังด้วย

 

3. การใช้ท่าทางประกอบการสนทนา

       กรณีที่มีการสูญเสียการได้ยินค่อนข้างมากไม่สามารถรับรู้ได้จากการฟังเพียงอย่างเดียว คู่สนทนาอาจจะต้องมีท่าทางประกอบ เช่น ทานข้าว ดื่มน้ำ ฯลฯ

 

4. การฝึกการฟัง

       ผู้ใส่เครื่องช่วยฟังควรฝึกการฟังในสถานการณ์ต่างๆ โดยเริ่มจากการพูดคุย แบบ 1 ต่อ 1 ในห้องเงียบ หลังจากนั้นค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้นโดยพูดคุยในที่ที่มีเสียงรบกวน และพูดคุย 2 – 3 คน ตามลำดับ

 

หูตึง หรือประสาทหูเสื่อม อาการมักจะค่อยๆ เริ่มเสื่อมตามอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นลักษณะเสื่อมแบบถาวร การคงสภาพประสาทหูที่เหลืออยู่ให้ใช้งานได้หรือเสื่อมช้าลง ด้วยการเลือกใส่เครื่องช่วยฟัง

 

 

สอบถามข้อมูลการเลือกเครื่องช่วยฟังเพิ่มเติม ได้ที่

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook: m.me/hearingchiangmai
Line: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

หูตึง กับผู้สูงอายุ

 

 หูตึงกับผู้สูงอายุ มักเป็นของคู่กัน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายได้ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักแล้วย่อมเสื่อมลงตามกาลเวลา

 

      ปัญหาหูตึงในผู้สูงอายุส่วนใหญ่เกิดจากความสามารถในการรับเสียงลดลง มักมีอาการหูอื้อ หรือหูตึง โดยมีอาการเริ่มแรกคือ ไม่ค่อยได้ยินเสียงแหลมๆ หรือเสียงที่มีความถี่สูง เช่น เสียงผู้หญิง เสียงดนตรีคีย์สูงๆ หรือเมื่ออยู่ในสถานที่ซึ่งมีเสียงรบกวนก็อาจฟังไม่เข้าใจ ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตในการสื่อสารกับผู้อื่นน้อยลงโดยไม่รู้ตัว และเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะ พูดคุยกับผู้อื่น เนื่องจากเมื่อสนทนาแล้วต้องให้ผู้อื่นพูดซ้ำๆ เสียงดังๆ ผู้สูงอายุบางคนอาจจะต้องมองหน้า มองปาก เพราะฟังด้วยหูอย่างเดียวไม่รู้เรื่องแล้ว

 

 

“สิ่งนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า…ถึงเวลาที่ควรพาท่านเข้ารับการรักษาหรือควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัญหาทางด้านการได้ยินแล้ว เพราะหากปล่อยไว้นาน ท่านอาจจะไม่ได้ยินอีกเลย ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลต่อการเกิดปัญหาซึมเศร้าได้”

 

การป้องกันและดูแลการได้ยิน ในผู้สูงอายุ

  • ควรตรวจสุขภาพการได้ยินเป็นประจำทุกปี เมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป
  • ควบคุมดูแลโรคประจำตัว เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อนที่อาจทำให้หูตึงได้
  • ในกรณีที่มีปัญหาการได้ยินขั้นรุนแรง และรบกวนคุณภาพชีวิตประจำวัน ไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินด้วยการใช้เครื่องช่วยฟัง (Hearing aids) ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุดีขึ้นได้

 

 

“การใส่เครื่องช่วยฟัง จะช่วยกระตุ้นการได้ยินให้ส่งคลื่นเสียงไปยังสมอง เพื่อคงการทำงานของสมองไว้”

 

ลูกหลานควรดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด คอยให้กำลังใจ มีปฏิสัมพันธ์กับท่านอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะคงการได้ยิน และสร้างความสุขให้กับท่าน

 

 


 

เราพร้อมให้คำปรึกษาปัญหาการได้ยิน หูตึง หูหนวก ไม่ได้ยิน

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

Cause Of Hearing Loss สาเหตุบกพร่องทางการได้ยิน

 

        ความพิการแต่กำเนิดที่ไม่สามารถตรวจพบได้ระหว่างตั้งครรภ์ หนึ่งในนั้นคือ ความพิการทางการได้ยิน ดังนั้นคุณแม่ที่รู้ว่าตัวเองเริ่มตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลและเข้ารับการฝากครรภ์กับแพทย์โดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงการบกพร่องทางการได้ยินที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์

 

ความบกพร่องทางการได้ยิน

จำแนกได้ 2 กลุ่ม คือ


1. ความบกพร่องทางการได้ยินแต่กำเนิด หรือระหว่างตั้งครรภ์

2. ความบกพร่องทางการได้ยินหลังกำเนิด

 

1. สาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินแต่กำเนิด หรือระหว่างตั้งครรภ์ :

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม / กรรมพันธุ์
  • ภาวะแทรกซ้อน / โรคติดเชื้ออื่นๆ ระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน ซิฟิลิส ฯลฯ
  • ภาวะทารกขาดออกซิเจนแรกคลอด
  • การขาดสารอาหารบางตัว เช่น กรดโฟลิก
  • การใช้ยาบางตัวระหว่างตั้งครรภ์
  • การปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น

ความเสี่ยงเหล่านี้ มักส่งผลทำให้ทารกเกิดการสูญเสียการได้ยิน หรือมีอาการหูตึงมาแต่กำเนิดได้

 

2. สาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินหลังกำเนิด : เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ

  • ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
  • คลอดก่อนกำหนด ทารกตัวเหลือง และเข้าตู้อบ
  • โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคหัด และโรคคางทูม
  • การติดเชื้อเรื้อรังในหู เช่น โรคหูน้ำหนวก หูชั้นกลางอักเสบ
  • การใช้ยาที่ก่อให้เกิดพิษต่ออวัยวะและระบบประสาท
  • การได้รับบาดเจ็บต่อศีรษะหรือหู
  • การฟังเสียงที่ดังเกินไปอย่างต่อเนื่อง
  • อาการหูตึงเกิดจากประสาทหูเสื่อมตามอายุ
  • ขี้หู (สาเหตุนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงระดับน้อย และสามารถแก้ไขได้ในทันที)

 

แนวทางการป้องกันและรักษา

ความบกพร่องทางการได้ยินแต่กำเนิด


  1. ผู้หญิงทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กมีประสาทหูพิการแต่กำเนิด และเมื่อพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการฝากครรภ์ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  2. ขณะตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง การใช้ยาปฏิชีวนะควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น
  3. ขณะตั้งครรภ์ ควรระมัดระวังการใช้ชีวิต ระวังการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ และหลีกเลี่ยงการฉายรังสีเอ็กซ์เรย์
  4. เด็กควรได้รับวัคซีนพื้นฐานครบตามกำหนดเวลา
  5. เมื่อพบว่าลูกอาจมีอาการหูตึงมาแต่กำเนิดควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อหาทางแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากการฟื้นฟูจะยากหรืออาจไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ใส่เครื่องช่วยฟังและพบนักแก้ไขการพูด เพื่อฝึกพูด การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เด็กสามารถพูดได้

 

ทุกคนสามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันความบกพร่องทางการได้ยินหลังกำเนิดได้ ทั้งนี้แล้วขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวในการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล และเมื่อใดที่เกิดความบกพร่องทางการได้ยินขึ้น ควรรีบเข้าพบและปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาได้ทันท่วงที

อ่าน พัฒนาการการได้ยินของลูกน้อย  สำหรับคุณแม่แรกคลอด เพื่อตรวจเช็คความผิดปกติการได้ยินของลูกน้อยของคุณ

 

 

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้ยินของลูกน้อย เราพร้อมให้คำปรึกษา

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

 

9 ข้อควรรู้ก่อน ซื้อเครื่องช่วยฟัง

 

      สำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน และกำลังจะซื้อเครื่องช่วยฟัง ลองเช็คดูว่า 9 ข้อนี้ มีข้อไหนที่คุณยังไม่ทราบบ้าง จะได้มั่นใจเลือกซื้อได้ดียิ่งขึ้นนะครับ

 

1. ไม่สามารถกลับไปได้ยินดีเหมือนเดิม ถึงแม่เทคโนโลยีจะถูกพัฒนามาได้มากขนาดไหน แต่เครื่องช่วยฟังที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่สามารถรักษาให้คุณกลับไปได้ยินดีได้เหมือนเดิม 100 % ได้

2. ต่างประเภท ต่างประสิทธิภาพ เครื่องช่วยฟังจะมีหลายประเภท นักแก้ไขการได้ยินจะแนะนำประเภทที่เหมาะสมกับคุณ ขึ้นอยู่กับระดับการได้ยิน และการใช้ชีวิตประวันของคุณ

3. ยังมีเสียงรบกวนอยู่ เราอยากให้คุณทราบตามความเป็นจริงว่า เครื่องช่วยฟังที่คุณภาพดีที่สุด ก็ไม่สามารถกรองเสียงรบกวนออกไปได้ทั้งหมด เพียงแต่จะช่วยลดเสียงรบกวนลงไป และเพิ่มเสียงพูดให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น สำหรับการแก้ปัญหาเสียงรบกวนที่ดีที่สุด คุณควรจะเลือกเครื่องช่วยฟังที่มีไมโครโฟนรับฟังเสียงเฉพาะทิศทาง (Directional Microphone) ที่มาพร้อมกับระบบประมวลผลแบบดิจิตอล (Digital Signal Processing) ซึ่งจะทำให้คุณได้ยินเสียงพูดที่ชัดเจนและลดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดีที่สุด

4. สวมใส่สบาย เพราะเครื่องช่วยฟังจะอยู่กับคุณทุกๆ วัน คุณจึงควรมีพิมพ์หูที่สวมใส่ได้พอดีกับช่องหูของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณใส่เครื่องช่วยฟังได้สบายจนแทบไม่รู้สึกถึงการสวมใส่เลย หากว่าการใส่เครื่องช่วยฟังทำให้คุณรู้สึกปวด คัน หรือมีเลือดไหลออกจากช่องหู ให้รีบไปขอคำแนะนำจากศูนย์เครื่องช่วยฟังที่คุณซื้อมา

5. ไม่ควรมีเสียงหวีด เป็นเรื่องปกติที่เวลาคุณกำลังสวมใส่เครื่องช่วยฟัง จะมีเสียงหวีดออกมาบ้าง ซึ่งจะหายไปหลังจากใส่ให้พอดีกับช่องหูแล้ว แต่หากยังมีเสียงหวีดภายหลังการใส่เครื่องช่วยฟัง ก็จะมาจากพิมพ์หูที่ไม่พอดีกับช่องหู คุณจึงควรกลับไปยังศูนย์เครื่องช่วยฟังที่คุณซื้อมา เพื่อให้เขาปรับพิมพ์หูให้เหมาะสม

6. ใช้ได้เฉพาะคน อย่าใช้เครื่องช่วยฟังของคนอื่น เพราะเครื่องช่วยฟังที่ดี ไม่ใช่แค่เป็นเครื่องขยายทุกเสียงให้ดังขึ้น แต่เครื่องช่วยฟังที่ดี  จะช่วยขยายเสียงในคลื่นความถี่ที่แต่ละคนสูญเสียไป และเนื่องจากแต่ละคนมีการสูญเสียการได้ยินในระดับที่แตกต่างกัน จึงจะต้องมีการปรับเครื่องช่วยฟังที่ต่างกันด้วย

7. แพทย์ก็เชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าแพทย์ทุกท่านที่จะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสูญเสียการได้ยิน คุณจึงควรเลือกที่จะขอคำปรึกษากับแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้เท่านั้น

8. ทดลองใช้ก่อน การไปพูดคุยกับนักแก้ไขการได้ยินหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถยืนยันได้มากพอว่าจะทำให้คุณได้เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับคุณจริงๆ เราจึงแนะนำให้คุณลองเอาเครื่องช่วยฟังกลับไปลองใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งศูนย์เรายินดีให้คุณทดลองใช้ 3-7 วันแล้วค่อยตัดสินใจก่อนซื้อจริง

9. ใช้เวลาปรับตัว ใช่ว่าผู้ใช้เครื่องช่วยฟังทุกคนจะปรับตัวได้ทันทีทันใด โดยส่วนมากแล้วจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ขึ้นไปถึงจะค่อยๆ ชินกับเสียงที่ได้ยินชัดเจนขึ้น เราจึงไม่อยากให้คุณด่วนใจร้อนเกินไปกับการใส่เครื่องช่วยฟังในช่วงแรก

 

เพราะการมีการได้ยินที่ดี คือส่วนหนึ่งที่จะเติมเต็มให้ชีวิตคุณมีความสุขมากยิ่งขึ้น เราจึงอยากให้คุณมีข้อมูลที่มากพอก่อนตัดสินใจในการซื้อเครื่องช่วยฟังแต่ละครั้ง

 

หรือหากคุณอยากทราบข้อมูลเพิ่ม หรือทดลองใช้เครื่องช่วยฟัง เรายินดีให้บริการครับ

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

(ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก BetterHearing.org)

ฟันผุ หูตึง หูหนวก หูฟัง เครื่องช่วยฟัง เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง

 

การมีสุขภาพในช่องปากที่ดี ไม่ใช่แค่จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพคุณให้ดูดี แต่ยังช่วยให้คุณมีการได้ยินที่ดีด้วย

 

      อาจดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันใช่ไหม? แต่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ปัญหาในช่องปากจะก่อให้เกิดแบคทีเรียร้ายที่สามารถไหลไปตามกระแสเลือด และก่อให้เกิดการอักเสบที่หลอดเลือด หรือมีส่วนทำให้หลอดเลือดตีบได้ ทั้งหมดนี้จึงส่งผลต่ออวัยวะหูและสมองของคุณ!

 

ความเกี่ยวข้องกันระหว่าง

สุขภาพในช่องปาก และสุขภาพการได้ยิน


      ภายในช่องหูจะมีเซลล์ขน (Hair Cell) ที่ทำหน้าสำคัญในการเชื่อมต่อกับเส้นประสาทการได้ยิน จึงถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทุกคนได้ยินชัดเจน แต่เซลล์ขนก็สามารถถูกทำลายได้จากหลายสาเหตุ

  • อยู่ในพื้นที่ที่เสียงดังเกินไป
  • รับประทานยาที่ส่งผลต่อปัญหาการได้ยิน
  • เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหูชั้นในได้ไม่เพียงพอ

 

      ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร เมื่อเซลล์ขนถูกทำลายไปแล้ว ก็ไม่สามารถสร้างใหม่ขึ้นมาได้ จึงส่งผลให้เกิดปัญหาการได้ยิน หูตึงหรือหูหนวก ซึ่งโดยปกติเซลล์ขนก็จะเสื่อมลงตามอายุของเราที่มากขึ้น แต่การมีปัญหาในช่องปาก ฟันผุ ก็ส่งผลให้มีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหูชั้นในได้ไม่เพียงพอ จึงมีส่วนในการทำลายเซลล์ขนได้

 

แบคทีเรียร้ายจากการไม่ดูแลสุขภาพในช่องปาก มีส่วนทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดหรือหลอดเลือดตีบ จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และเสี่ยงต่อการมีปัญหาการได้ยิน

 

เราจึงควรดูแลสุขภาพในช่องปาก ดังนี้


  1. ไปพบกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจสุขภาพในช่องปาก
  2. แปรงฟันทั้งก่อนนอนและหลังตื่นนอน โดยใช้เวลาแปรงฟันแต่ละครั้งไม่ต่ำว่า 2 นาที
  3. เลือกแปรงสีฟันที่มีขนาดพอเหมาะ ที่สามารถทำความสะอาดได้ทั่วถึง
  4. ใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี เพื่อทำความสะอาดระหว่างซอกฟันได้สะอาดขึ้น
  5. อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น แม้กับคนในครอบครัว
  6. ล้างแปรงสีฟันหลังใช้ทุกครั้ง และวางไว้ในที่แห้ง
  7. เปลี่ยนแปรงสีฟันใหม่ทุก 3 เดือน

 

      การที่สุขภาพในช่องปากมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพการได้ยินของหู ไม่ใช่เรื่องที่แปลก เพราะที่จริงแล้วอวัยวะหลายอย่างในร่างกายก็ทำงานเชื่อมโยงกันทั้งหมด การดูแลสุขภาพองค์รวมจึงเป็นสิ่งสำคัญถ้าคุณอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี

 

และหากคุณมีปัญหาการได้ยิน หูตึง หูหนวก หูดับ เราพร้อมให้คำปรึกษาโดยนักแก้ไขการได้ยินมืออาชีพ

(ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Healthy Hearing)

 

 

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
เฟซบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
ไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

ขนาดเครื่องช่วยฟัง ขนาดเล็ก

 

หลายคนพบว่าตนเองกำลังมีปัญหาการได้ยิน และกำลังเลือกว่าควรใส่เครื่องช่วยฟังแบบใดดี ขนาดเครื่องช่วยฟัง เล็ก – ใหญ่ หลักๆ แล้วเครื่องช่วยฟังมี 3 ประเภทที่ทุกคนควรรู้จัก

 

หูฟัง หูตึง หูหนวก เชียงใหม่ ลำพูน

 

 

แล้วเครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหู (ITE) จะเหมาะกับฉันไหม?

      ถ้าอยากได้เครื่องช่วยฟังขนาดเล็กที่ไม่ต้องคล้องหู ประเภทในช่องหูก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีนะครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับการได้ยินและชีวิตประจำวันของคุณด้วย ผมเลยรวมทั้งข้อดีและข้อเสียมาให้คุณอ่านเพื่อการตัดสินใจเพิ่มเติม

 

ข้อดีของเครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหู

  1. ซ่อนตัวได้ ด้วยความที่มีขนาดเล็กและอยู่ในช่องหู คนรอบข้างคุณจึงอาจไม่เห็นว่าคุณกำลังใส่เครื่องช่วยฟังอยู่
  2. สบายไร้สาย คุณจะไม่ต้องกังวลกับสายนำเสียง หรือตัวเครื่องที่ต้องคล้องหู
  3. คุยมือถือได้ คุณสามารถเอาโทรศัพท์มือถือแนบกับหูเพื่อพูดคุยได้ตามปกติ
  4. ไร้เสียงลม เนื่องจากมีใบหูกันไว้ เครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหูจึงอาจไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงลมซักเท่าไหร่

 

ข้อเสียของเครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหู

  1. ไม่เหมาะกับผู้ที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง เครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหูจะเหมาะกับผู้ที่สูญเสียการได้ยินระดับเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น หากต้องการกำลังเสียงที่มากขึ้น จึงควรเปลี่ยนไปใช้เครื่องช่วยฟังประเภททัดหลังหู
  2. ใช้แบตเตอรี่เปลืองกว่า จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าผู้ใช้งานเครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหูจะมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยกว่าเครื่องช่วยฟังประเภทอื่น
  3. ลูกเล่นน้อยกว่า เนื่องจากเครื่องช่วยฟังประเภทในช่องหูมีขนาดเล็ก ไม่สามารถออกแบบให้มีปุ่มหรือมีแผงวงจรที่ซับซ้อนได้ คุณจึงอาจไม่สามารถปรับการใช้งานได้หลากหลายเท่ากับเครื่องช่วยฟังประเภทอื่น

 

      ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่คุณควรรู้ก่อนเลือกประเภทเครื่องช่วยฟังให้เหมาะสม และแนะนำว่าให้ตรวจการได้ยินจากนักแก้ไขการได้ยินที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เขาจะแนะนำและให้คุณลองใส่เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้เครื่องช่วยฟังที่เหมาะกับชีวิตประจำวันจริงๆ

 

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
เฟซบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
ไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai