ยาเป็นพิษต่อหู (Ototoxic Drugs) กลุ่มยาที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น สูญเสียการได้ยิน หูอื้อ หรือเสียงดังในหู และปัญหาการทรงตัว พบได้ในยาแก้ปวดทั่วไป ยารักษาเบาหวาน
Posts
เมื่อ หู คอ จมูก ส่งผลกับการได้ยิน
หู คอ จมูก อวัยวะที่มีความเชื่อมโยงถึงกัน เมื่ออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งมีความผิดปกติเกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะที่เหลือตามมา เช่น อาการหวัดลงคอ มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล เป็นไข้ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเป็นหวัดคัดจมูก ไซนัสอักเสบ มักลามไปยังหู มีอาการหูอื้อ ปวดหู เสียงดังในหู เวียนศีรษะบ้านหมุน และในบางรายส่งผลให้การได้ยินลดลง ด้วยเหตุนี้เองผู้บกพร่องทางการได้ยิน จึงควรให้ความสำคัญกับอวัยวะทั้ง 3 ส่วนนี้
ทำไมเมื่อเป็นหวัดแล้วหูอื้อ?
การได้ยินลดลง
บางคนเมื่อเป็นหวัดแล้วมีอาการหูอื้อร่วมด้วย ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจลุกลามผ่านท่อปรับความดันของหู ที่เรียกว่า “ท่อยูสเตเชี่ยน” เข้าไปยังหูชั้นกลาง ท่อนี้จะเชื่อมระหว่างโพรงจมูก หูชั้นกลาง และคอหอย ปรับความดันอากาศระหว่างหูชั้นกลางและอากาศภายนอกให้มีความสมดุล
เมื่อท่อปรับความดันเกิดการอักเสบบวม ทำให้ปิดกั้นช่องทางการระบายเมือกหรือสารคัดหลั่ง ของเหลวเกิดการคั่งอยู่ในหูชั้นกลาง ส่งผลให้หูชั้นกลางติดเชื้อ และก่อให้เกิดอาการหูอื้อ หรือมีเสียงในหู ปวดหู และการได้ยินลดลง เนื่องจากมีของเหลวขัดหวางการทำงานของกระดูกนำเสียง (ค้อน ทั่ง และโกลน)
ทำอย่างไร? การได้ยินจะกลับมาปกติ และหูหายอื้อ
ผู้มีอาการหวัดแล้วหูอื้อ มีเสียงในหู การได้ยินลดลง ควรปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่ง พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญไม่ควรเครียด เนื่องจากความเครียดสัมพันธ์กับอาการของหู
เมื่อหายจากอาการหวัดแล้ว อาการของหู หูอื้อ เสียงในหู ปวดหู และการได้ยิน ก็จะเริ่มดีขึ้น แต่หากผ่านไปหลายสัปดาห์อาการหูยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจดูความผิดปกติ
โรคหูคอจมูกที่มีความซับซ้อน การดูแลรักษาจะดูแลโดยแพทย์เฉพาะทางที่เรียกว่า “แพทย์หูคอจมูก” โดยแพทย์เฉพาะทางจะอยู่ในหน่วยงานที่เรียกว่า “แผนกหูคอจมูก หรือ โสต ศอ นาสิก” Otorhinolaryngology มีหน้าที่ดูแล เช่น ปัญหาการได้ยิน หูตึง ขี้หูอุดตัน น้ำเข้าหู หินปูนเกาะ
หากพบว่า การได้ยินลดลง ท่านสามารถเข้ารับการตรวจการได้ยิน
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook : m.me/hearingchiangmai
Line : line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ขอขอบคุณข้อมูล : wikipedia.org [2013, Nov7]., mayoclinic.org, amazonaws.com
รู้จักกับ ฝุ่นละออง PM 2.5
สารบัญ
- PM 2.5 คืออะไร?
- แหล่งกำเนิด ฝุ่น PM 2.5
- กลุ่มเสี่ยง ที่ได้รับผลกระทบจาก PM 2.5
- อาการผิดปกติ เมื่อสัมผัส PM 2.5
- ดัชนีคุณภาพอากาศ AQI
PM 2.5 คืออะไร?
PM 2.5 (Particulate matters) คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบกับขนาด 1 ใน 25 ส่วน ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผม ขนาดเล็กมากจนสามารถผ่านขนจมูกที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นเข้าสู่ทางเดินหายใจไปยังปอดและกระแสเลือดได้โดยง่าย
อีกทั้งตัวฝุ่น PM 2.5 นี้ ยังเป็นพาหะในการนำสารอื่นๆ เข้าสู่ร่างกาย เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนัก และสารก่อมะเร็ง และเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะมีการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Inflammation) รวมถึงอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายขึ้น ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาทและสมอง เป็นต้น
แหล่งกำเนิด ฝุ่น PM 2.5
มี 2 แหล่งกำเนิดใหญ่ คือ
1. แหล่งกำเนิดโดยตรง ได้แก่ การเผาในที่โล่ง การคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลิต
2. การรวมตัวของก๊าซอื่นๆ ในบรรยากาศ ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และสารก่อมะเร็ง เช่น สารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs)
กลุ่มเสี่ยงใด? ควรระวัง
ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5
ความเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจะสูงขึ้นในบุคคลบางกลุ่ม ได้แก่ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคระบบประสาทและสมอง เด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ รวมถึงผู้ทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีค่ามลพิษในอากาศสูง หรือเกินค่ามาตรฐาน
- ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และผู้ป่วยไซนัส อาการอาจกำเริบได้ ซึ่งโรคภูมิแพ้จมูกนี้มีอาการเรื้อรังสามารถส่งผลกระทบไปยังหูชั้นกลางกับช่องจมูก ซึ่งมีท่ออากาศเชื่อมต่อกัน เมื่อท่อเกิดการอุดตัน อากาศที่ถูกกักไว้ภายในจะทำให้รู้สึกปวดหู หูอื้อ และอาจมีมูกขังภายใน จนเกิดการติดเชื้อและเกิดหูชั้นกลางอักเสบ ถ้าเป็นเรื้อรังอาจมีหนองไหลออกจากหูเนื่องจากมีเยื่อแก้วหูทะลุ
- ในสตรีมีครรภ์ พบว่า มีผลกระทบต่อสุขภาพทารกในครรภ์ โดยอาจทำให้เด็กในครรภ์เติบโตช้า (Intrauterine Growth Retardation: IUGR) หรือทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature Labor) และเพิ่มการตายปริกำเนิด (Perinatal Mortality) ได้
PM 2.5 อันตราย ในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว
กองระบาดวิทยา¹ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และหัวใจและหลอดเลือด มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ปริมาณความเข้มข้นของมลพิษอากาศและฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้นเช่นกัน
เมื่อพิจารณาผู้ป่วยตามการวินิจฉัยโรคจากรายงานของโรงพยาบาลเครือข่ายเฝ้าระวัง ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบว่า ในช่วงที่มีปัญหามลพิษอากาศและฝุ่น PM 2.5 (พฤศจิกายน 2563 – มีนาคม 2564) มีผู้ป่วย ที่เข้ามารับการรักษาจำนวน 2,631 ราย ได้แก่ โรคหอบหืด จำนวน 970 ราย (ร้อยละ 36.87) โรคปอดอุดกั้น เรื้อรัง 912 ราย (34.66) โรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ 730 ราย (27.75) และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 19 ราย (0.72)
จากการแบ่งกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มอายุระหว่าง 60 ปีขึ้นไป มีการเจ็บป่วยสูงสุด ร้อยละ 44.43 (ดังภาพแผนภูมิ) โดยผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน เช่น โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ฯลฯ คิดเป็นร้อยละ 52.83 และกลุ่มที่ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 47.17 ที่มีอาการป่วยในวันที่มีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้น
นอกจากนี้กรมควบคุมโรค² ยังรายงานว่า ฝุ่น PM 2.5 นั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคทางจิตเวช โดย PM2.5 มีผลต่อการอักเสบของหลอดเลือด และระบบประสาท ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสารสื่อประสาท ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า ภาวะเครียด และการฆ่าตัวตายตามมา
อาการผิดปกติของร่างกาย
เมื่อสัมผัส กับฝุ่น PM 2.5
- ตาแดง บริเวณเปลือกตาบวม ใต้ตาช้ำ สังเกตได้จากสีที่คล้ำขึ้น มีน้ำตาไหลบ่อย ๆ
- ผิวหนังเป็นตุ่มหรือผื่น นูนแดงกระจายไปทั่ว
- ผิวหนังปวดแสบปวดร้อน มีอาการระคายเคือง
- เป็นลมพิษ ถ้าเป็นหนักมากอาจเกิดลมพิษบริเวณใบหน้า ข้อพับ ขาหนีบ
- ทำร้ายเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวอ่อนแอ เหี่ยวย่นง่าย
- รู้สึกคัน แสบ หรือแน่นในโพรงจมูก มีน้ำมูกแบบใส
- ไอ จาม รู้สึกแน่นหน้าอก
- ตัวร้อน มีไข้
ผลกระทบทางสุขภาพระยะยาว ได้แก่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง หรือมะเร็งปอด
องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) กำหนดให้ฝุ่น PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง
ดัชนีคุณภาพอากาศเท่าไหร่?
ถึงปลอดภัยต่อสุขภาพ
ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) ตามมาตรฐานของ US-EPA 2016 แบ่งเป็น 6 ระดับ คือ ตั้งแต่ 0 ถึง 501 ขึ้นไป ซึ่งแต่ละระดับจะใช้สีเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบระดับของผลกระทบต่อสุขภาพ
- ดัชนีคุณภาพอากาศ ค่าตั้งแต่ 0 – 50 คุณภาพอากาศจะถูกแสดงเป็นสีเขียว หมายถึง คุณภาพอากาศดี ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
- ดัชนีคุณภาพอากาศ ค่าตั้งแต่ 51 – 100 คุณภาพอากาศจะถูกแสดงเป็นสีเหลือง หมายถึง คุณภาพปานกลาง มีผลกระทบต่อผู้ที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษ
- ดัชนีคุณภาพอากาศ ค่าสูงกว่า 101 – 150 คุณภาพอากาศจะถูกแสดงเป็นสีส้ม หมายถึง มีผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง (ผู้เป็นโรคหอบหืด ภูมิแพ้ เด็กและผู้สูงอายุ)
- ดัชนีคุณภาพอากาศ ค่าสูงตั้งแต่ 151 – 200 คุณภาพอากาศจะถูกแสดงเป็นสีแดง หมายถึง มีผลกระทบต่อสุขภาพ
- ดัชนีคุณภาพอากาศ ค่าสูงตั้งแต่ 201 – 300 คุณภาพอากาศจะถูกแสดงเป็นสีม่วง หมายถึง มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก
เช็คดัชนีคุณภาพอากาศ วันนี้ ; AQI : มาตรฐาน US-EPA , AQI : มาตรฐานไทย
เมื่อค่าดัชนีคุณภาพอากาศสูงกว่า 101 หรือแสดงเป็นสีส้ม แนะนำให้กลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว ควรงดกิจกรรมนอกบ้าน หรือหากมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรสวมหน้ากาก N95 เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน
ปรึกษาปัญหาการได้ยิน การได้ยินลดลง
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่ ติดต่อ: 053-271533, 089-0537111
ขอขอบคุณข้อมูล : www.brh.go.th, allwellhealthcare.com, www.daikin.co.th,
¹moph.go.th, ²moph.go.th
www.bangkokpattayahospital.com, www.praram9.com
คาเฟอีนกับการได้ยิน เกี่ยวข้องกันอย่างไร ดื่มกาแฟมีผลกับการได้ยิน เสียงดังในหู หูอื้อ โรคน้ำในหูไม่เท่ากันหรือไม่ ควรดื่มกาแฟเครื่องดื่มคาเฟอีนอย่างไรให้ปลอดภัย
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีน้ำในหูชั้นในมากผิดปกติ เป็นเหตุให้รู้สึกเสียการทรงตัว (เกิดอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน) และการได้ยิน (เกิดอาการหูตึง แว่วเสียงดังในหู) ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว
อาการของ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
อาการหลักของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน คือ อาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่าอาการบ้านหมุน แต่ละครั้งมักเป็นอยู่นานเกิน 20 นาทีขึ้นไป ถึง 2 ชั่วโมง แล้วหายไปได้เอง และอาการจะกำเริบได้อีกเป็นครั้งคราว เป็นๆ หายๆ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการทุกวัน หรือนานๆ เป็นที โดยอาจทิ้งช่วงห่างกันเป็นสัปดาห์ ๆ หรือนานเป็นปี ซึ่งไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร นอกจากนี้ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก และอาจมีอาการตากระตุกร่วมกับอาการบ้านหมุนด้วย
- ประสิทธิภาพการได้ยินลดลง มักพบในช่วงระยะแรกของโรค มักเป็นชั่วคราวโดยที่การได้ยินจะลดลงในช่วงเกิดอาการเวียนศีรษะ เมื่อร่างกายกลับสู่ภาวะปกติการได้ยินจะดีขึ้น แต่หากปล่อยให้โรคดำเนินไปมากขึ้น การได้ยินอาจเสื่อมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหูตึงหรือหูหนวกได้ในที่สุด
- หูอื้อ แว่วเสียงดังในหู ซึ่งจะเกิดขึ้นในหูข้างที่ผิดปกติ มักเป็นพร้อมกับอาการบ้านหมุน อาจเป็นเฉพาะเวลาที่เวียนศีรษะหรืออาจเป็นอยู่ตลอดเวลาก็ได้
- รู้สึกแน่นในหู ลักษณะหนักๆ หน่วงๆ คล้ายกับมีแรงดันในหู (ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหู และปวดศีรษะข้างที่เป็นร่วมด้วยได้)
การปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเมื่อเกิดอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
- รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่และถูกต้องตามหลักอนามัย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็มจัด ควบคุมปริมาณเกลือไม่ให้มากเกินไป
- หลีกเลี่ยงกาแฟ ช็อกโกแลต และอาหารที่มีคาเฟอีน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนมากๆ เช่น ทำงานติดต่อกันนานเกินไป หรือออกกำลังกายหักโหมมากเกินไป
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น ความเครียด
- ในรายที่เกิดอาการเวียนศีรษะทันทีโดยไม่มีอาการเตือน ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเสี่ยงอันตราย เช่น การขับขี่ยานพาหนะ การปีนป่ายที่สูง เป็นต้น
เราพร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อสุขภาพการได้ยินที่ดีของทุกคน
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook: m.me/hearingchiangmai
Line: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ เมดไทย
อาการปวดหู หรือ หูอื้อบนเครื่องบิน เมื่อก้าวขึ้นเครื่องคงทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย เรามีคำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังจะเดินทางโดยเครื่องบินและมักประสบปัญหาปวดหู หรือหูอื้อ ให้ได้เตรียมพร้อมและป้องกันกับอาการดังกล่าว ตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง ช่วงอยู่บนเครื่อง และหลังจากลงเครื่อง
เตรียมความพร้อมสำหรับเดินทางโดยเครื่องบินแล้วปวดหู หรือหูอื้อ
หูอื้อบนเครื่องบิน (จนเจ็บหู) เกิดจากอะไร?
สาเหตุหลักๆ ก็มาจากความดันอากาศนั่นเอง โดยปกติความดันอากาศภายในหูชั้นกลางกับความดันอากาศภายนอกหู จะอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน แม้กระทั่งเวลาเราเดินเล่นบนยอดเขาสูงๆ ที่มีความกดอากาศต่ำกว่าปกติ ก็มักไม่เกิดปัญหาหูอื้อจนปวดหู เพราะร่างกายจะค่อยๆ ปรับความดันอากาศในหูชั้นกลางให้เป็นระดับเดียวกับภายนอกหูได้
การขึ้นเครื่องบินเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับความสูงที่รวดเร็ว ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับระดับความดันอากาศในหูชั้นกลางกับระดับความกดอากาศภายนอกได้ทัน ส่งผลให้เยื่อแก้วหูมีอาการบวมอย่างกะทันหัน จึงเป็นสาเหตุให้เกิดอาการหูอื้อจนปวดหูขึ้น รวมถึงทำให้ระดับการได้ยินลดน้อยลงด้วย
ทำยังไงให้ลดอาการหูอื้อบนเครื่องบิน?
- กลืนน้ำลาย การกลืนน้ำลาย จะทำให้ท่อปรับความดันในหูชั้นกลาง ช่วยรักษาความดันระหว่างหูชั้นกลางและภายนอกหูให้มีระดับเท่ากัน เราจึงควรกลืนน้ำลายให้บ่อยขึ้นในขณะขึ้นเครื่องบิน เพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงานของท่อปรับความดันในหูชั้นกลาง
- เคี้ยวหมากฝรั่ง คล้ายๆ กับข้อที่ 1 การเคี้ยวหมากฝรั่ง การอมลูกอม หรือการใช้หลอดเพื่อดื่มเครื่องดื่ม จะเป็นการกระตุ้นให้มีการกลืนน้ำลายบ่อยขึ้น จึงเป็นการช่วยปรับความดันอากาศภายในหูชั้นกลางและภายนอกหูให้มีระดับเท่ากัน และช่วยลดอาการปวดหูจากหูอื้อไปได้เยอะทีเดียว
- ปรับความดันในหู วิธีปรับความดันอากาศในหูชั้นกลาง ทำได้โดยวิธี Valsalva Maneuver คือการสูดหายใจเข้าให้เต็มที่ แล้วปิดปากปิดจมูกโดยเอามือบีบจมูกไว้ หลังจากนั้นให้เบ่งลมออก วิธีนี้อากาศจะผ่านไปกระตุ้นให้ท่อปรับความดันในหูชั้นกลางทำงาน หลังจากนั้นเอามือที่บีบจมูกออกแล้วจึงกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง แต่ควรระวังสำหรับคนที่เป็นหวัด ไซนัสอักเสบ ไม่ควรทำวิธีนี้ เพราะจะทำให้เชื้อโรคในจมูกหรือไซนัสเข้าไปสู่หูชั้นกลางได้
หากกำลังไม่สบาย ควรใช้วิธีปรับความดันในหูโดยวิธี Toynbee Maneuver คือปิดปากปิดจมูกโดยเอามือบีบจมูกไว้ กลืนน้ำลายหลายๆ ครั้งจนรู้สึกว่าอาการปวดหูหรือหูอื้อลดน้อยลง
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
- ถ้าเลี่ยงได้ ก็ไม่ควรขึ้นเครื่องบินในขณะเป็นหวัด ไซนัสอักเสบ หรือมีอาการภูมิแพ้กำเริบ
- ไม่ควรหลับในขณะเครื่องบินกำลังขึ้นหรือลง เพราะท่อปรับความดันในหูชั้นกลางจะทำงานลำบากขึ้นในขณะที่เราหลับ
- ลองใช้ Flight Earplugs ที่ออกแบบมาสำหรับใช้อุดหูบนเครื่องบินเท่านั้น ใช้ตอนเครื่องบินจะขึ้นหรือลง จะช่วยปรับความดันอากาศในหูชั้นกลางให้พอดีกับภายนอกหูได้ (หาซื้อได้ตามร้านขายยาขนาดใหญ่)
- ดื่มน้ำในขณะอยู่บนเครื่องบิน จะช่วยลดอาการหูอื้อได้บ้าง
- อาจปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาพ่นจมูกหดหลอดเลือด (Topical Decongestant เช่น Ephedrine, Oxymetazoline) ก่อนเครื่องบินจะขึ้นหรือลงประมาณ 5 นาที หรืออาจรับประทานยาหดหลอดเลือด (Oral Decongestant เช่น Psedoephedrine) ก่อนเครื่องบินจะขึ้นหรือลงประมาณ 30 นาที จะช่วยลดการบวมของท่อปรับความดันในหูชั้นกลางได้
นำวิธีดังกล่าวไปลองปรับใช้ เพื่อการเดินทางโดยสารบนเครื่องบินได้อย่างไร้กังวล
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ขอบคุณข้อมูลจาก