Tag Archive for: การได้ยิน

หูสองข้างได้ยินเท่ากันหรือไม่

 

หลายคนอาจมีข้อสงสัย….

      หูทั้งสองข้าง ได้ยินเท่ากันหรือไม่? เท้าข้างหนึ่งของคุณมักจะใหญ่กว่าอีกข้างหนึ่งเล็กน้อย เช่นเดียวกับสายตาที่สั้นหรือยาวกว่ากันเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หูข้างหนึ่งอาจได้ยินดีกว่าอีกข้างหนึ่ง แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย

 

¹งานวิจัยค้นพบว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางหูขวา มีปัญหาในการเรียนในโรงเรียนมากกว่าเด็กที่สูญเสียการได้ยินในหูซ้าย

 

 

หูซ้าย และหูขวา

หูทั้งสองข้าง รับรู้เสียงแตกต่างกัน


      ¹Yvonne Sininger, Ph.D. ศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์ศีรษะและคอ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ร่วมกับทีมงาน ได้ทำการศึกษาการได้ยินของทารกแรกเกิดมากกว่า 3,000 ราย ก่อนออกจากโรงพยาบาล พวกเขาพบว่า หูข้างซ้ายปรับเข้ากับเสียงดนตรีได้ดีกว่า และหูข้างขวารับเสียงคล้ายเสียงพูดได้ดีกว่า

      การวิจัยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่เริ่มต้นที่หู “เราคิดเสมอว่าหูซ้ายและขวาของเราทำงานในลักษณะเดียวกัน” Sininger กล่าว ด้วยเหตุนี้ เรามักจะคิดว่ามันไม่สำคัญว่าหูข้างไหนที่มีความบกพร่องในตัวบุคคล ตอนนี้เราเห็นว่ามันอาจมีความหมายอย่างลึกซึ้งต่อพัฒนาการทางการพูดและภาษาของแต่ละคน

      การค้นพบนี้จะช่วยให้แพทย์ พัฒนาการพูดและภาษาในทารกแรกเกิดที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและฟื้นฟูผู้ที่สูญเสียการได้ยิน

 

hearing-loss-in-child

หูซ้ายจะรับข้อมูลโทนเสียงต่างๆ เสียงดนตรี อารมณ์ และสัญชาตญาณได้ดีกว่า ในขณะที่หูขวาจะรับเสียงคำพูดและตรรกะได้ดีกว่า

 

นั่นอาจอธิบายได้ว่า…

 

     ³ผู้ที่สูญเสียการได้ยินในหูข้างซ้ายมาก อาจพบว่าตัวเองไม่สามารถเข้าใจอารมณ์หรือการโต้เถียงของสมาชิกในครอบครัวได้น้อยลง ในขณะที่ผู้ที่สูญเสียการได้ยินในหูข้างขวามาก อาจสูญเสียความสามารถในการให้เหตุผลเชิงตรรกะบางส่วน หรือการแยกแยะสิ่งต่างๆ ลดลง

 

 ซึ่งตรงข้ามกับสมองของมนุษย์เรา กล่าวคือ…

 

      ²สมองซีกซ้าย (Left Hemisphere) จะทำหน้าที่เกี่ยวกับการคิดเชิงตรรกะเหตุผล การมีวิจารณญาณ ตัวเลข ภาษา และสมองซีกขวา (Right Hemisphere) จะทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ การจินตนาการ ดนตรี ศิลปะ อารมณ์

      สอดคล้องกับงานวิจัย ในปี ค.ศ. 1960 ของ Roger W. Sperry ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาสมองสองซีกของมนุษย์ และค้นพบว่า สมองทั้งสองซีกจะทำงานกลับข้างกัน สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายทางด้านขวา และสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายทางด้านซ้าย

 

Brain-and-hearing

การทำงานของสมอง และการรับเสียงของหู

 

      ¹นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ Cone-Wesson แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา ผู้วิจัยร่วมกับ Sininger ยังอธิบายว่า “หากบุคคลใดหูหนวกอย่างสมบูรณ์ การค้นพบของเราอาจเสนอแนวทางแก่ศัลยแพทย์ในการใส่ประสาทหูเทียมในหูข้างซ้ายหรือข้างขวาของแต่ละคน และมีอิทธิพลต่อวิธีตั้งโปรแกรมประสาทหูเทียมหรือเครื่องช่วยฟังเพื่อประมวลผลเสียง” Cone-Wesson อธิบาย “โปรแกรมประมวลผลเสียงสำหรับอุปกรณ์ช่วยฟังสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับหูแต่ละข้างได้ เพื่อให้ได้สภาวะที่ดีที่สุดสำหรับการได้ยินเสียงคำพูดหรือเสียงดนตรี”

  

 

การให้ข้อมูลของคุณกับผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินและเครื่องช่วยฟัง จะเป็นประโยชน์สำหรับการเลือกอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสม รวมถึงการปรับแต่งเสียงเพื่อการใช้งานเครื่องช่วยฟังของคุณให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

 

ทดสอบการได้ยิน ปรึกษาการเลือกเครื่องช่วยฟัง

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook : hearingchiangmai
Line : @hearingchiangmai

 


ขอขอบคุณข้อมูล :    ¹University Of California – Los Angeles, Left And Right Ears Not Created Equal As Newborns Process Sound. ScienceDaily. [2004, Sep10]., ²กลไกสมองสองซีกกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์. ปัญจนาฏ วรวัฒนชัย, 2559, healthyhearing.com
คาเฟอีน กาแฟ กับการได้ยิน

คาเฟอีนกับการได้ยิน เกี่ยวข้องกันอย่างไร ดื่มกาแฟมีผลกับการได้ยิน เสียงดังในหู หูอื้อ โรคน้ำในหูไม่เท่ากันหรือไม่ ควรดื่มกาแฟเครื่องดื่มคาเฟอีนอย่างไรให้ปลอดภัย

โรคเกลียดเสียง Misophonia

 

เสียงนาฬิกาเดิน เสียงกดปากกา เสียงแป้นพิมพ์ หรือแม้กระทั่งเสียงเคี้ยว เสียงหายใจ

บางครั้งรวมถึงการเคลื่อนไหวซ้ำๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นต้นเหตุ เช่น มีคนอยู่ไม่สุข นั่งกระดิกเท้า

 

ความดังของเสียง หรืออิริยาบถการเคลื่อนไหวแค่เล็กๆ น้อยๆ สามารถทำให้คุณรู้สึกโกรธ หงุดหงิด รำคาญ หรืออยากจะหนี อาการเหล่านี้เรียกว่า โรคเกลียดเสียง (Misophonia)

 

 

โรคเกลียดเสียง เกิดจากอะไร?


         โรคเกลียดเสียงหรือโรคไวต่อเสียงบางชนิด ถือเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งมีเสียงเป็นสิ่งเร้า เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของหูหรือการได้ยินแต่อย่างใด แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง

         Dr.Sukhbinder Kumar นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ระบุว่า ในคนที่มีภาวะเกลียดเสียงนั้น สมองส่วนอินซูล่าซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างประสาทสัมผัสกับอารมณ์ จะทำงานหนักกว่าคนทั่วไปในขณะที่ได้ยินเสียง ส่งผลให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด หรือวิตกกังวล หัวใจเต้นเร็ว และเหงื่อออกได้มากขึ้น ความผิดปกตินี้มีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง

Misophonia-child

 

จากสถิติพบว่า โรคเกลียดเสียงส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิง ตั้งแต่อายุ 9 – 13 ปี จนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีอาการถี่ขึ้น จนเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

 

 

 

 

โรคเกลียดเสียง รักษาอย่างไร?


      ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการบำบัดผู้ที่มีอาการโดยจิตแพทย์ ด้วยการให้ผู้ป่วยระบายความอึดอัดในใจ และอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงการกำเนิดของเสียง จากนั้นจึงค่อยๆ ฝึกให้ผู้ป่วยปรับตัวอยู่ร่วมกับเสียงกระตุ้นเหล่านั้นได้โดยไม่รู้สึกรำคาญ หรือผสมผสานการบำบัดด้วยเสียงโดยนักโสตสัมผัสวิทยาและการให้คำปรึกษาแบบประคับประคอง

Misophonia-โรคเกลียดเสียง

หรือหากมีอาการที่ยังไม่รุนแรง อาจลองเริ่มจากการหลีกเลี่ยงเสียงกระตุ้นเหล่านั้น โดยการใส่หูฟัง หรือใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยฟังที่สร้างเสียงในหูที่คล้ายกับเสียงน้ำตก หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น เช่น การพูดคุยกับเพื่อน การอ่านหนังสือ

 

 

แต่ถ้ารู้สึกว่าอาการเกลียดเสียงเริ่มจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์จะดีที่สุด

 

 

การรักษาอื่นๆ


         การใช้ชีวิตประจำวันก็มีบทบาทด้วยเช่นกัน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ และจัดการกับความเครียด การหลีกเลี่ยงเสียงรบกวน การอยู่ในพื้นที่เงียบสงบหรือจุดปลอดภัยในบ้านของคุณ โดยไม่มีใครส่งเสียงดังรบกวน

 

 

 


ยินดีให้คำปรึกษาปัญหาด้านการได้ยิน

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
เฟซบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
ไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

 

ขอบคุณข้อมูล : WebMD, Healthaddict, Gqthailand;ศรีสิทธิ์ วงศ์วรจรรย์
ท่อยูสเตเชียน กับอาการเสียงดังในหู

 

ท่อยูสเตเชียน (Eustachian Tube) คืออะไร


      ท่อยูสเตเชียนเป็นท่อทางเดินขนาดเล็กและแคบ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลาง และโพรงหลังจมูก เมื่อใดก็ตามที่กลืน หาว หรือจาม ท่อยูสเตเชียนนี้จะเปิดออก วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้ของเหลวและความดันอากาศถูกสร้างขึ้นภายในหู


 

ความสำคัญของท่อยูสเตเชียน

     ท่อยูสเตเชียน ทำหน้าที่ช่วยปรับความดันของหูชั้นกลางให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก เมื่อใดที่ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ จะทำให้เกิดอาการหูอื้อ ปวดหู มีเสียงดังในหู หรือเวียนศีรษะบ้านหมุนได้

 

 

ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ สาเหตุจาก


      ความผิดปกติของท่อยูสเตเชียน มักเกิดจากการอักเสบของท่อ ทำให้เมือกและของเหลวถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ตามการสะสมของของเหลวอาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหวัดไข้หวัด ภูมิแพ้ หรือไซนัส

      และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงระดับความกดดันบรรยากาศอย่างรวดเร็ว เช่น ขึ้น-ลงลิฟท์ เร็วๆ เครื่องบินขึ้น-ลงเร็ว ดำน้ำโดยลดระดับเร็วเกินไป หรือแม้กระทั่งการเดินทางขึ้นภูเขา ทำให้เกิดอาการหูอื้อ ปวดหู มีเสียงดังในหู หรือเวียนศีรษะบ้านหมุน

 

วิธีการรักษา


  1. รับประทานยา ;- ยาแก้แพ้ (Anti-histamine, ยาหดหลอดเลือด (Oral decongestant  เช่น Pseudoephedrine) หรือ พ่นจมูกด้วยยาหดหลอดเลือด (Topical decongestant เช่น Ephedrine, Oxymetazoline) อาจร่วมกับการล้างจมูก
  2. ควรทำให้ท่อยูสเตเชียนทำงาน เปิด-ปิด ตลอดเวลา ;- เคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อให้มีการกลืนน้ำลายบ่อยๆ การทำ Toynbee maneuver  การทำ Valsalva maneuver
  1. กรณีทำ 2 วิธีดังกล่าวข้างต้น แล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจรักษาโดยวิธีผ่าตัด คือการเจาะเยื่อบุแก้วหู (myringotomy) เพื่อปรับความดันของหูชั้นกลางให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก และระบายของเหลวภายในหูชั้นกลาง (ถ้ามี) ในผู้ป่วยบางราย อาจต้องใส่ท่อ (myringotomy tube) คาไว้ที่เยื่อบุแก้วหู
  2. ควรป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เช่น เครียด วิตก กังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ การสัมผัสอากาศที่เย็นมากเกินไป อากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือผู้ป่วยที่อาจแพร่เชื้อได้

 


หมายเหตุ ;-
    • การทำ Toynbee maneuver คือบีบจมูก 2 ข้าง และกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง และเอามือที่บีบจมูกออก และกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง 
    • การทำ Valsalva maneuver ซึ่งทำได้โดยให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าเต็มที่ และเอามือบีบจมูกไว้ ปิดปาก แล้วเบ่งลมให้อากาศผ่านทางจมูกที่ปิด อากาศจะผ่านไปที่ท่อยูสเตเชียน เข้าสู่หูชั้นกลาง และเอามือที่บีบจมูกออก และกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ขณะที่เป็นหวัด หรือไซนัสอักเสบซึ่งมีการติดเชื้อในจมูก ไม่ควรทำวิธีนี้ เพราะจะทำให้เชื้อโรคในจมูก หรือไซนัส เข้าไปสู่หูชั้นกลางได้

 

 

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
Facebook: m.me/hearingchiangmai
Line: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
1. ผศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน; ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
2. londonhearing

 

ช็อกโกแลตกับการได้ยิน

 

      อาหารแทบทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรา ทุกคนรู้ว่านมดีต่อกระดูก และแครอทดีต่อสายตา แต่ใครจะรู้ว่าช็อกโกแลตดีสำหรับการได้ยิน

 

ช็อกโกแลต อาหารทรงคุณค่าแก่การได้ยิน


      ช็อกโกแลต (Chocolate) หนึ่งในผลิตผลที่มาจากเมล็ดโกโก้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอลอย่างฟลาโวนอยด์ที่ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

       นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังมีสารเคมีที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง อย่างสารเซโรโทนิน โดพามีน ในการปรับสภาพอารมณ์และส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดภาวะอาการซึมเศร้าและความเครียดลงได้

 


ทีมนักวิจัย นำโดย Dr.Sang-Yeow Lee แพทย์หู คอ จมูก The Seoul National University Hospital ได้เผยแพร่งานวิจัยล่าสุด* ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients Journal เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 โดยเป็นการสำรวจของ Korean National Health and Nutrition Examination Survey กับประชากร 3,575 คน ที่มีอายุระหว่าง 40 – 64 ปี ในปี พ.ศ. 2555 – 2556 พบว่า…“อัตราการเกิดความบกพร่องทางการได้ยิน ทั้งเกิดในหูข้างเดียวหรือเกิดในหูทั้งสองข้าง ของผู้ที่รับประทานช็อกโกแลตต่ำกว่า ผู้ที่ไม่ได้รับประทานช็อกโกแลตอย่างมีนัยสำคัญ”

 

งานวิจัยยังพบว่า การรับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำ อาจช่วยป้องกันผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนจากการเกิดความบกพร่องทางการได้ยินได้

 

       อย่างไรก็ตาม การบริโภคช็อกโกแลตควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน เป็นต้น

 

 

ด้วยความห่วงใย

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6520725/
https://www.pobpad.com/
โฟลิก โฟเลต กับ การได้ยินในผู้สูงอายุ

 

โฟลิก หรือ โฟเลต เป็นวิตามินตัวเดียวกัน นั่นคือ วิตามินบี 9 เพียงแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกัน โดย “โฟลิก” เป็นชื่อเรียกของวิตามินบี 9 ที่ได้มาจากการสังเคราะห์ขึ้น ส่วน “โฟเลต” เป็นชื่อเรียกของวิตามินบี 9 ที่ได้รับจากอาหารตามธรรมชาติ

 


Lucy Wills

 

โฟเลต (Folate) ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 เมื่อ Lucy Wills รายงานว่า สารสกัดจากยีสต์สามารถรักษาภาวะโลหิตจางชนิดเมกาโลบลาสติกในหญิงตั้งครรภ์ได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1941 สารนี้ได้ถูกพบในพืชผักอีกหลายชนิด เช่น ผักขม อัลฟาฟา จึงถูกเรียกว่า “โฟเลต” ซึ่งมาจากคำในภาษาลาตินว่า Folium หมายถึง ใบไม้ เมื่อเอ่ยถึงสารโฟเลต จึงทำให้นึกถึงใบไม้ ใบหญ้า ผักใบเขียว

 


 

โฟลิก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ควบคุมการทำงานของสมอง มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีน และไม่ใช่แค่ลดโอกาสเสี่ยงการพิการแต่กำเนิดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เจริญอาหาร แก้อาการอ่อนเพลีย ป้องกันภาวะซีดหรือโลหิตจาง ป้องกันโรค NCDs และโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)

 

โฟลิก โฟเลต กับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารที่มีโฟเลตหรือโฟลิกสูง  ทั้งนี้มีผลการวิจัยยืนยันว่า…

 

“การได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอประมาณ 800 ไมโครกรัมต่อวัน สามารถลดระดับของสารโฮโมซีสเตอีนได้ถึงร้อยละ 25 จึงสามารถชะลอการสูญเสียการได้ยินในผู้สูงอายุได้ (Homocysteine Lowering Trialists’ Collaboration, 1998)”

 

      สารโฮโมซีสเตอีนในเลือดเกิดจากการรับประทานอาหารโปรตีนมากเกินไป เป็นสารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากมีมากเกินกว่าระดับที่ควรเป็นจะทำลายหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดที่อยู่ในสมอง รวมถึงหลอดเลือดที่เลี้ยงประสาทหู โดยจะมีผลทำให้หลอดเลือดดังกล่าวมีโอกาสตีบและอุดตันได้ง่ายกว่าที่ระดับของโฮโมซีสเตอีนในเลือดปกติ

 

รับประทานโฟลิกในปริมาณที่เหมาะสมร่วมกับวิตามินบี 6 และ บี 12 จะช่วยลดภาวะที่มีสารโฮโมซิสเทอีนเลือดสูง และลดความเสี่ยงโรคโลหิตจาง

 

ดังนั้น โฟลิก หรือโฟเลต มีความสำคัญในการรักษาระดับของโฮโมซีสเตอีนในเลือดไม่ให้สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ลดโอกาสเสี่ยงจากผนังหลอดเลือดถูกทำลาย และยังมีส่วนช่วยในการชะลอการสูญเสียการได้ยิน

 

 

ปรึกษาทุกปัญหาการได้ยินและตรวจการได้ยิน ได้ที่

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

โรคประจำตัวเสี่ยงต่อการได้ยิน

      ปัจจุบันคนไทยมีสถิติการป่วยทั้งแบบเรื้อรังและไม่เรื้อรังเพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานของทอด ของมัน ของหวาน หรือรสจัดเกินไป การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงความเครียดสะสมจากการทำงาน และพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา จนเกิดเป็นโรคเรื้อรัง หรือโรคประจำตัว ซึ่งปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ป่วยและมีโรคประจำตัว

 

โรคประจำตัว คือ โรคที่ติดตัวผู้ป่วย ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในทางการแพทย์หมายถึง โรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาและอยู่ในความดูแลและควบคุมของแพทย์อย่างต่อเนื่อง

 

      โรคประจำตัวที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการได้ยิน ทำให้การได้ยินมีโอกาสลดลงได้นั้น คือ โรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไต

จากการวิจัยพบว่า โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อการสูญเสียการได้ยินมากกว่าการเปลี่ยนแปลงตามวัย การได้รับเสียงดังเกินไป และปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย (LermanGarber, et al., 2012)

   โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ ถ้าหากไม่มีการควบคุมในเรื่องของการรับประทานอาหาร และดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายแข็งและหนาตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะลดลง และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตา โรคของระบบประสาท รวมถึงโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย

 

        ทั้งนี้เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาในระดับหลอดเลือดขนาดเล็ก และประสาทรับความรู้สึก ทำให้มีผลต่อจอประสาทตา ไต และปลายประสาท รวมทั้งหลอดเลือดฝอยและเซลล์ประสาทรับความรู้สึกของหูชั้นใน

 

       ดังนั้น ผู้มีโรคประจำตัวดังกล่าว ควรควบคุมโรคให้ดี เพราะโรคเหล่านี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหูน้อยลง และทำให้ประสาทรับเสียงเสื่อมมากขึ้นหรือเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น

 

 

ปรึกษาปัญหาการได้ยิน ได้ที่

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

วิตามินบี กับการได้ยิน

 

      วิตามิน มีบทบาทสำคัญช่วยในการขับเคลื่อนให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ เมื่อเราบริโภคอาหารซึ่งมีวิตามินเป็นส่วนประกอบ วิตามินจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอต่างๆ ของร่างกาย

 

      วิตามินบี (B Vitamin) เป็นหนึ่งในวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำได้ มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะทำงานเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน ดังนั้นการรับประทานวิตามินบีให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ควรรับประทานควบคู่กันไปหรือเลือกรับประทาน วิตามินบีรวม (Vitamin B-Complex) เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกาย วิตามินบีรวม ประกอบด้วย บี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 และ บี12 มีประโยชน์ ดังนี้

 

วิตามินบีรวม (B-Complex, B-Mix)

ช่วยเสริมสร้างระบบประสาทหู ได้อย่างไร?


อาหาร แหล่งรวมวิตามินบี

  • วิตามินบี 1 (ไทอะมีน) มีส่วนสำคัญในการช่วยบำรุงระบบประสาท สมอง กล้ามเนื้อ และการทำงานของหัวใจ บรรเทาอาการเมารถ เรือ เครื่องบิน ลดอาการเจ็บปวดและเหน็บชา
  • วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ บำรุงสายตา บรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรน
  • วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรน ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน รักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก บำรุงผิวพรรณ และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
  • วิตามินบี 5 (กรดแพนโทเทนิก) ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายความตึงเครียด นอนหลับได้ดีขึ้น จำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนและการทำงานของสมอง บรรเทาอาการข้ออักเสบ รักษาอาการมือเท้าเหน็บชา ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
  • วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน) ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง ชะลอวัย ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ป้องกันโรคทางประสาท และโรคผิวหนังหลายชนิด ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง
  • วิตามินบี 7 (ไบโอติน) บำรุงรักษาเส้นผม หนังศีรษะล้าน และเล็บ บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
  • วิตามินบี 9 (กรดโฟลิก) ช่วยบำรุงผิวพรรณ ป้องกันแผลร้อนใน พยาธิในลำไส้ และอาการแพ้  ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ภาวะซีดหรือโลหิตจาง ลดความเสี่ยงการให้กำเนิดทารกที่มีความบกพร่องตั้งแต่กำเนิด
  • วิตามินบี 12 (โคบาลามิน) บำรุงระบบประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว ลดความเครียด เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย และสามารถทำให้ร่างกายนำไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

 


แหล่งอาหารที่อุดมด้วย “วิตามินบีรวม”   ได้แก่

อาหาร วิตามินบี

โฮลวีต รำข้าว ข้าวไม่ขัดสี ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี ธัญพืชไม่ขัดสี บริเวอร์ยีสต์ ชีส ผักใบเขียว ถั่ว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง วอลนัต โยเกิร์ต เนื้อสัตว์ (หมู ไก่ ปลา) เนื้อไม่ติดมัน นม ไข่ ตับ ไต หัวใจ กากน้ำตาล เนย แครอท แคนตาลูป อะโวคาโด อินทผลัม ลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง กะหล่ำปลี ฟักทอง เอพริคอต


การได้รับวิตามินบีครบถ้วนทุกชนิดในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท และความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย

 

 

ความเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินบีได้

 

 

ปรึกษาปัญหาการได้ยินเพิ่มเติม ได้ที่

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

ประเภทการสูญเสียการได้ยิน

 

หูไม่ได้ยิน หูตึง สูญเสียการได้ยิน บกพร่องทางการได้ยิน (Hearing loss) หมายถึง ภาวะที่ความสามารถในการได้ยินหรือรับเสียงลดลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยไปจนถึงไม่ได้ยินเลย หรือที่เรียกว่า หูหนวก (Deaf หรือ Deafness)

 

ประเภทการสูญเสียการได้ยิน

แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

       ประเภทที่ 1 ชนิดการนำเสียงบกพร่อง

       ประเภทที่ 2 ชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง

       ประเภทที่ 3 ชนิดการรับเสียงบกพร่องแบบผสม

 

 


1. ประเภทการสูญเสียการได้ยิน ชนิดการนำเสียงบกพร่อง (Conductive hearing loss)

      สาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นนอก หรือ/และหูชั้นกลาง แต่ประสาทหูยังดีอยู่ สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด โดยสาเหตุมักเกิดจาก

       • เยื่อแก้วหูทะลุ ผู้ป่วยมักจะมีความผิดปกติทางการได้ยินหลังการได้รับบาดเจ็บ
       • ขี้หูอุดตัน
       • หูชั้นกลางอักเสบ หรือหูน้ำหนวก
       • ภาวะมีน้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง
       • ท่อยูสเตเชียน ทำงานผิดปกติ ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก
       • โรคหินปูนในหูชั้นกลาง ส่งผลให้เกิดอาการหูตึง โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การรักษาต้องทำการผ่าตัดหรือใส่เครื่องช่วยฟัง
       • กระดูกหูชั้นกลางหัก หรือหลุดจากอุบัติเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูอื้อหูตึงทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ การรักษาต้องอาศัยการผ่าตัด
       • สาเหตุอื่นๆ เช่น หูพิการแต่กำเนิด สิ่งแปลกปลอมเข้าหู แก้วหูอักเสบ เยื่อแก้วหูหนา มีเลือดออกในหูชั้นกลาง ฯลฯ

 

ear โครงสร้างหู

 

2. ประเภทการสูญเสียการได้ยิน ชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง (Sensorineural hearing loss)

      เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของส่วนหูชั้นใน ประสาทรับเสียง ไปจนถึงสมอง ความผิดปกติบริเวณนี้จะทำให้ได้ยินเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดภาวะหูตึง หูหนวกถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ โดยสาเหตุมักเกิดจาก

       • ประสาทหูเสื่อมตามวัย/หูตึงในผู้สูงอายุ (80% มักเกิดจากสาเหตุนี้) มีสาเหตุมาจากเซลล์ขนในหูชั้นในและเส้นประสาทหูค่อยๆ เสื่อมไปตามอายุ โดยเฉพาะเซลล์ขนส่วนฐานของคอเคลียจะเสื่อมไปก่อน ทำให้สูญเสียการได้ยินช่วงเสียงแหลมเมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมจะลามไปถึงช่วงความถี่กลางสำหรับฟังเสียงพูด ทำให้ผู้สูงอายุเริ่มหูตึง ฟังไม่ชัดเจน และมักบ่นว่าได้ยินเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง โดยมากผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ในผู้ชายจะมีโอกาสเป็นมากกว่าและมีความรุนแรงกว่าผู้หญิง การใส่เครื่องช่วยฟังจะช่วยให้ได้ยินได้

       • ประสาทหูเสื่อมจากเสียงที่ดังมากๆ เป็นการเสื่อมของเส้นประสาทหูที่เกิดจากการได้ยินเสียงที่ดังมากในระยะเวลาสั้น ๆ หรือได้ยินเพียงครั้งเดียว เช่น การได้ยินเสียงฟ้าผ่า เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงพลุ หรือเสียงประทัด เป็นต้น

       • ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป จากการได้ยินเสียงดังระดับปานกลางหรือดังเกิน 85 เดซิเบลขึ้นไป เป็นเวลานานๆ เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงงาน, ทหาร/ตำรวจที่ต้องฝึกซ้อมการยิงปืนเป็นประจำ, เสียงดังจากเครื่องจักรหรือยวดยานพาหนะต่างๆ, เสียงเพลงหรือเสียงดนตรี เสียงในงานคอนเสิร์ตที่ดังมากๆ เป็นต้น เนื่องจากเซลล์ประสาทหูถูกคลื่นเสียงทำลายไป ค่อยๆ เสื่อม และมักเป็นแบบถาวร และไม่มีทางแก้ไขให้กลับคืนมาดีได้เหมือนเดิม ถ้ายังอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเช่นเดิม อาการหูตึงจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาจรุนแรงจนถึงขั้นหูหนวกได้

       • ประสาทหูเสื่อมแต่กำเนิด
       • สาเหตุทางกรรมพันธุ์
       • สาเหตุจากโรคทางกาย เช่น โรคเมเนียส์/น้ำในหูไม่เท่ากัน โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน เป็นต้น
       • สาเหตุที่เกิดในสมอง
       • หูชั้นในอักเสบ
       • การได้รับอุบัติเหตุของหูชั้นใน
       • การมีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน
       • การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู

 

eardrop

 

3. ประเภทการสูญเสียการได้ยิน ชนิดการรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed hearing loss)

      เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติในการนำเสียงบกพร่องร่วมกับประสาทรับเสียงบกพร่อง ซึ่งพบในโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นนอก หูชั้นกลาง ร่วมกับความผิดปกติของหูชั้นใน โรคที่พบ เช่น

       • โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังที่ลุกลามเข้าไปในหูชั้นใน
      • โรคในหูชั้นกลางของผู้สูงอายุที่มีปัญหาประสาทรับเสียงเสื่อมด้วย
       • โรคหินปูนเกาะกระดูกโกลนและมีพยาธิสภาพในหูชั้นในร่วมด้วย

 

 

อย่างไรก็ตาม มีผู้สูญเสียการได้ยินจำนวนไม่น้อยที่แพทย์ตรวจแล้วไม่พบสาเหตุ

 

 

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาการได้ยิน เราพร้อมให้คำปรึกษา

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
เฟซบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
ไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai

Disability Statistics

      ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้พิการที่ลงทะเบียนผู้พิการนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 จำนวนทั้งสิ้น 1,916,828 คน เป็นเพศชาย จำนวน 1,006,657 คน คิดเป็นร้อยละ 52.52 และเพศหญิง จำนวน 910,171 คน คิดเป็นร้อยละ 47.48

 

     โดยแบ่งจำนวนผู้พิการตามภูมิภาค ดังนี้

     จากกราฟการแบ่งจำนวนผู้พิการตามภูมิภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนผู้พิการมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 40.64 รองลงมาคือ ภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 22.54  ภาคกลางและภาคตะวันออก ภาคใต้ กรุงเทพมหานคร และไม่ระบุ คิดเป็นร้อยละ 20.44 11.59 4.26 และ 0.53 ตามลำดับ

 

     เมื่อจำแนกผู้พิการตามประเภทความพิการในประเทศไทย สามารถจำแนกได้ ดังนี้

     จากกราฟการจำแนกผู้พิการตามประเภทความพิการในประเทศไทย พบว่า ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่ายกายมีจำนวนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.18 รองลงมาคือ ผู้พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย คิดเป็นร้อยละ 18.39 ผู้พิการทางการเห็น ผู้พิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม ผู้พิการสติปัญญา ผู้พิการมากกว่า 1 ประเภท ผู้พิการทางออทิสติก ผู้พิการทางการเรียนรู้ และไม่ระบุ คิดเป็นร้อยละ 10.21 7.46 6.82 6.38 0.59 0.49 และ 0.48 ตามลำดับ

 

    จากสถิติข้อมูลคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการในประเทศไทยจะเห็นได้ว่า ผู้พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายมีจำนวนผู้พิการมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 352,503 คน คิดเป็นร้อยละ 18.39 รองลงมาจากผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่ายกาย ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

ที่มา : ข้อมูลประมวลผลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.m-society.go.th/download/article/article_20180703100206.pdf

 

หากสูญเสียการได้ยินระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง ควรใช้เครื่องช่วยฟัง

หากหูหนวก ควรได้รับการผ่าตัดประสาทหูเทียม

 

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการสูญเสียการได้ยินเฉียบพลัน เราพร้อมให้คำปรึกษา

ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai