Tag Archive for: สูญเสียการได้ยิน
หูไม่ได้ยิน หรือหูตึง ปัญหาการได้ยินที่คนส่วนมากมักมองข้ามและไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเริ่มสื่อสารกับผู้อื่นลำบากแล้ว
อาการของการสูญเสียการได้ยินหรือหูตึง มีหลายระดับขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรง บางรายสูญเสียการได้ยินเล็กน้อยในหูทั้งสองข้าง บางรายสูญเสียการได้ยินรุนแรงในหูข้างเดียว หรือบางรายสูญเสียการได้ยินในแต่ละข้างไม่เท่ากัน ดังนั้นประสบการณ์การฟังย่อมแตกต่างกัน
เช็คสัญญาณอาการที่เข้าข่ายผู้มีปัญหาการได้ยิน
ตรวจเช็คอาการดังต่อไปนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมและหาวิธีป้องกันให้กับการได้ยินของคุณ
- เพื่อนหรือครอบครัวบอกว่าคุณเปิดทีวีหรือวิทยุดังเกินไป
- คุณมีปัญหาในการทำความเข้าใจคำพูด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
- คุณมีปัญหาในการสนทนาทางโทรศัพท์
- คุณมีความรู้สึกว่าได้ยิน แต่ฟังไม่เข้าใจ
- คุณไม่แน่ใจว่าเสียงมาจากทิศทางไหน
- คุณมักจะขอให้ผู้อื่นพูดซ้ำๆ
- คุณต้องพึ่งพาคู่สมรสหรือคนที่คุณรักเพื่อช่วยให้คุณได้ยิน
- คุณพบว่าตัวเองกำลังหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคม
- คุณรู้สึกอ่อนเพลียหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่เกิดจากความเหนื่อยล้าในการฟัง
- คุณมีอาการเสียงดังในหู
- คุณมีอาการหูอื้อ
หากพบว่าตัวคุณเองมีปัญหาการได้ยินตามอาการดังกล่าว กรณีเพิ่งเริ่มมีอาการ แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก เพื่อทำการรักษา หรือกรณีไม่แน่ใจว่าตัวคุณเองมีปัญหาการได้ยินหรือไม่ บางครั้งได้ยินดี แต่ในบางครั้งกลับไม่ได้ยิน
แนะนำให้คุณตรวจการได้ยิน คุณจะทราบถึงระดับการได้ยินว่าอยู่ในระดับใด มีปัญหาการได้ยินในช่วงความถี่เสียงไหน เพื่อให้คุณเตรียมความพร้อมและหาวิธีการป้องกันหรือวิธีการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยคุณสามารถเข้ารับบริการตรวจการได้ยินได้ที่โรงพยาบาล หรือศูนย์บริการเอกชนใกล้บ้าน
คุณสามารถตรวจการได้ยินประจำปีได้โดยไม่ต้องรอให้แพทย์สั่ง หรือรอให้ตัวคุณเองไม่ได้ยิน
ปรึกษาปัญหาการได้ยิน บริการตรวจการได้ยิน (Pure-Tone Audiometry)
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
ขอบคุณข้อมูลจาก healthyhearing.com
อาหารแทบทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรา ทุกคนรู้ว่านมดีต่อกระดูก และแครอทดีต่อสายตา แต่ใครจะรู้ว่าช็อกโกแลตดีสำหรับการได้ยิน
ช็อกโกแลต อาหารทรงคุณค่าแก่การได้ยิน
ช็อกโกแลต (Chocolate) หนึ่งในผลิตผลที่มาจากเมล็ดโกโก้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอลอย่างฟลาโวนอยด์ที่ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังมีสารเคมีที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง อย่างสารเซโรโทนิน โดพามีน ในการปรับสภาพอารมณ์และส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดภาวะอาการซึมเศร้าและความเครียดลงได้
ทีมนักวิจัย นำโดย Dr.Sang-Yeow Lee แพทย์หู คอ จมูก The Seoul National University Hospital ได้เผยแพร่งานวิจัยล่าสุด* ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients Journal เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 โดยเป็นการสำรวจของ Korean National Health and Nutrition Examination Survey กับประชากร 3,575 คน ที่มีอายุระหว่าง 40 – 64 ปี ในปี พ.ศ. 2555 – 2556 พบว่า…“อัตราการเกิดความบกพร่องทางการได้ยิน ทั้งเกิดในหูข้างเดียวหรือเกิดในหูทั้งสองข้าง ของผู้ที่รับประทานช็อกโกแลตต่ำกว่า ผู้ที่ไม่ได้รับประทานช็อกโกแลตอย่างมีนัยสำคัญ” |
งานวิจัยยังพบว่า การรับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำ อาจช่วยป้องกันผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนจากการเกิดความบกพร่องทางการได้ยินได้
อย่างไรก็ตาม การบริโภคช็อกโกแลตควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน เป็นต้น
ด้วยความห่วงใย
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6520725/
https://www.pobpad.com/
ด้วยเหตุที่ว่า ทำไมผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ถึงมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัส COVID-19
จากข้อมูลหลายแหล่งได้ให้รายละเอียด ดังนี้;
ประการแรก ปัญหาการสื่อสารด้านการดูแลสุขภาพ ที่ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดของข้อมูลข่าวสาร ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพที่ถูกต้อง และบ่อยครั้งที่ระดับความรู้ด้านสุขภาพลดลง หรือ ความฉลาดทางสุขภาพ (Health Literacy) อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดในการใช้ยาและการรักษา
|
ประการที่สอง ความรู้สึกโดดเดี่ยว ความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าจากการแยกตัวออกจากสังคมของผู้บกพร่องทางการได้ยิน อาการเหล่านี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และเสี่ยงมากยิ่งขึ้นสำหรับ…ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน เป็นต้น โรคเหล่านี้พบได้บ่อยในผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน
หากท่านมีความจำเป็นต้องพบแพทย์
ในช่วงของการระบาดของ เชื้อไวรัสโควิด-19 ควรเตรียมความพร้อม ดังนี้
1. สวมอุปกรณ์ป้องกันหน้ากากอนามัยอย่างมิดชิด
2. เดินไปกับญาติ หรือบุคคลในครอบครัว เพื่อช่วยฟังคำอธิบายจากแพทย์
3. ใส่เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับระดับการได้ยินตลอดเวลา
4. นำยาที่รับประทานอยู่ติดตัวไปด้วย
5. ระหว่างที่มีโรคระบาด ทางโรงพยาบาลจะมีผู้ป่วยจำนวนมาก ซึ่งแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จะยุ่งกับการดูแลผู้ป่วย และมีเวลาให้ท่านน้อย ขอให้ญาติหรือบุคคลในครอบครัวจดจำสิ่งที่แพทย์บอก การรับประทานยาตามแพทย์สั่ง และการวางแผนการรักษา
6. ถ้าท่านพักอยู่โรงพยาบาลในช่วงเวลาที่มีโรคระบาด ควรพยายามออกจากโรงพยาบาลและกลับมาบ้านให้ได้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาล
ขอให้ท่านศึกษาคำแนะนำในการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และติดตามข่าวสารการแพร่ระบาดอย่างสม่ำเสมอ
อย่าลืมสังเกตตัวเอง หากมีอาการไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก คุณอาจเสี่ยงติดเชื้อ Covid-19 ควรรีบมาพบแพทย์ด่วน!
ด้วยความห่วงใย,
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.chadruffinmd.com/blog/2020/3/15/covid-19-and-hearing-loss
กรมอนามัย
เค็ม ในที่นี้มาจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือและโซเดียม ซึ่งโซเดียมเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่มีอยู่ในเกลือ
โซเดียมมีความสำคัญในการควบคุมสมดุลของเหลวภายในร่างกาย ช่วยรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปกติ ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยดูดซึมสารอาหารบางอย่างในไตและลำไส้เล็ก การได้รับโซเดียมในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยส่งเสริมระบบต่างๆ ภายในร่างกาย
“ปริมาณการบริโภคโซเดียม ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือ 1 ช้อนชา ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง ไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือ 3 ส่วน 4 ช้อนชา – ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก”
ด้วยพฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนไทยชอบการปรุงรสเพิ่ม เช่น พริกน้ำปลา ซอสต่างๆ ทำให้ร่างกายได้รับเกลือและโซเดียมมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ไต อวัยวะในการทำหน้าที่ขับของเสียทำงานหนักเนื่องจากต้องขับโซเดียมส่วนเกินออก
และหากยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานเค็มที่มากเกินไปนี้ อาจทำให้เกิดโรคหลายโรคได้ เช่น โรคไต โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระดูกพรุน เป็นต้น
โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนของโลหิต เมื่อใดที่เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมอง ระบบประสาทส่วนอื่นๆ ภายในสมอง รวมถึงประสาทหู ประสาทตา จะทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว เวียนศีรษะ บ้านหมุน สูญเสียการทรงตัว สูญเสียการได้ยินเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน ทำให้ประสาทหูชั้นในอักเสบ (Labyringthitis) นอกจากนี้ยังเกิดอาการหน้าเบี้ยว กลืนลำบาก พูดลำบากหรือฟังไม่เข้าใจ มีอาการชาครึ่งซีก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และนำไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
ปริมาณเกลือโซเดียมในชีวิตประจำวัน
- เกลือ 1 ช้อนชา เท่ากับ โซเดียม 2,000 มิลลิกรัม
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ โซเดียม 1,160 – 1,420 มิลลิกรัม
- ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ โซเดียม 690 – 1,420 มิลลิกรัม
- ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ โซเดียม 1,150 มิลลิกรัม
- กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ โซเดียม 1,430 – 1,490 มิลลิกรัม
- ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ โซเดียม 420 – 490 มิลลิกรัม
ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมต่ำ รับประทานอาหารสด หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว (อาหารจำพวกนี้จะมีการเติมโซเดียมเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา) อ่านฉลากดูปริมาณเกลือโซเดียมก่อนเลือกซื้อสินค้า เปลี่ยนพฤติกรรมในการปรุงรส ชิมก่อนปรุงรส
การรับประทานเค็มมากเกินไป ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อประสาทหูที่อาจทำให้การได้ยินลดลง แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
ปรึกษาทุกปัญหาการได้ยินและตรวจการได้ยิน ได้ที่
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
เครือข่ายลดบริโภคเค็ม (สสส.)
สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย
bangkokhealth
ปัจจุบันคนไทยมีสถิติการป่วยทั้งแบบเรื้อรังและไม่เรื้อรังเพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานของทอด ของมัน ของหวาน หรือรสจัดเกินไป การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงความเครียดสะสมจากการทำงาน และพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา จนเกิดเป็นโรคเรื้อรัง หรือโรคประจำตัว ซึ่งปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ป่วยและมีโรคประจำตัว
โรคประจำตัว คือ โรคที่ติดตัวผู้ป่วย ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในทางการแพทย์หมายถึง โรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาและอยู่ในความดูแลและควบคุมของแพทย์อย่างต่อเนื่อง
โรคประจำตัวที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการได้ยิน ทำให้การได้ยินมีโอกาสลดลงได้นั้น คือ โรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไต
จากการวิจัยพบว่า โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อการสูญเสียการได้ยินมากกว่าการเปลี่ยนแปลงตามวัย การได้รับเสียงดังเกินไป และปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย (LermanGarber, et al., 2012)
โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ ถ้าหากไม่มีการควบคุมในเรื่องของการรับประทานอาหาร และดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายแข็งและหนาตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะลดลง และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตา โรคของระบบประสาท รวมถึงโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย
ทั้งนี้เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาในระดับหลอดเลือดขนาดเล็ก และประสาทรับความรู้สึก ทำให้มีผลต่อจอประสาทตา ไต และปลายประสาท รวมทั้งหลอดเลือดฝอยและเซลล์ประสาทรับความรู้สึกของหูชั้นใน
ดังนั้น ผู้มีโรคประจำตัวดังกล่าว ควรควบคุมโรคให้ดี เพราะโรคเหล่านี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหูน้อยลง และทำให้ประสาทรับเสียงเสื่อมมากขึ้นหรือเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
ปรึกษาปัญหาการได้ยิน ได้ที่
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
หูไม่ได้ยิน หูตึง สูญเสียการได้ยิน บกพร่องทางการได้ยิน (Hearing loss) หมายถึง ภาวะที่ความสามารถในการได้ยินหรือรับเสียงลดลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยไปจนถึงไม่ได้ยินเลย หรือที่เรียกว่า หูหนวก (Deaf หรือ Deafness)
ประเภทการสูญเสียการได้ยิน
แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
• ประเภทที่ 1 ชนิดการนำเสียงบกพร่อง
• ประเภทที่ 2 ชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง
• ประเภทที่ 3 ชนิดการรับเสียงบกพร่องแบบผสม
1. ประเภทการสูญเสียการได้ยิน ชนิดการนำเสียงบกพร่อง (Conductive hearing loss)
สาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นนอก หรือ/และหูชั้นกลาง แต่ประสาทหูยังดีอยู่ สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด โดยสาเหตุมักเกิดจาก
• เยื่อแก้วหูทะลุ ผู้ป่วยมักจะมีความผิดปกติทางการได้ยินหลังการได้รับบาดเจ็บ
• ขี้หูอุดตัน
• หูชั้นกลางอักเสบ หรือหูน้ำหนวก
• ภาวะมีน้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง
• ท่อยูสเตเชียน ทำงานผิดปกติ ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก
• โรคหินปูนในหูชั้นกลาง ส่งผลให้เกิดอาการหูตึง โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การรักษาต้องทำการผ่าตัดหรือใส่เครื่องช่วยฟัง
• กระดูกหูชั้นกลางหัก หรือหลุดจากอุบัติเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูอื้อหูตึงทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ การรักษาต้องอาศัยการผ่าตัด
• สาเหตุอื่นๆ เช่น หูพิการแต่กำเนิด สิ่งแปลกปลอมเข้าหู แก้วหูอักเสบ เยื่อแก้วหูหนา มีเลือดออกในหูชั้นกลาง ฯลฯ
2. ประเภทการสูญเสียการได้ยิน ชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง (Sensorineural hearing loss)
เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของส่วนหูชั้นใน ประสาทรับเสียง ไปจนถึงสมอง ความผิดปกติบริเวณนี้จะทำให้ได้ยินเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดภาวะหูตึง หูหนวกถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ โดยสาเหตุมักเกิดจาก
• ประสาทหูเสื่อมตามวัย/หูตึงในผู้สูงอายุ (80% มักเกิดจากสาเหตุนี้) มีสาเหตุมาจากเซลล์ขนในหูชั้นในและเส้นประสาทหูค่อยๆ เสื่อมไปตามอายุ โดยเฉพาะเซลล์ขนส่วนฐานของคอเคลียจะเสื่อมไปก่อน ทำให้สูญเสียการได้ยินช่วงเสียงแหลมเมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมจะลามไปถึงช่วงความถี่กลางสำหรับฟังเสียงพูด ทำให้ผู้สูงอายุเริ่มหูตึง ฟังไม่ชัดเจน และมักบ่นว่าได้ยินเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง โดยมากผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ในผู้ชายจะมีโอกาสเป็นมากกว่าและมีความรุนแรงกว่าผู้หญิง การใส่เครื่องช่วยฟังจะช่วยให้ได้ยินได้
• ประสาทหูเสื่อมจากเสียงที่ดังมากๆ เป็นการเสื่อมของเส้นประสาทหูที่เกิดจากการได้ยินเสียงที่ดังมากในระยะเวลาสั้น ๆ หรือได้ยินเพียงครั้งเดียว เช่น การได้ยินเสียงฟ้าผ่า เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงพลุ หรือเสียงประทัด เป็นต้น
• ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป จากการได้ยินเสียงดังระดับปานกลางหรือดังเกิน 85 เดซิเบลขึ้นไป เป็นเวลานานๆ เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงงาน, ทหาร/ตำรวจที่ต้องฝึกซ้อมการยิงปืนเป็นประจำ, เสียงดังจากเครื่องจักรหรือยวดยานพาหนะต่างๆ, เสียงเพลงหรือเสียงดนตรี เสียงในงานคอนเสิร์ตที่ดังมากๆ เป็นต้น เนื่องจากเซลล์ประสาทหูถูกคลื่นเสียงทำลายไป ค่อยๆ เสื่อม และมักเป็นแบบถาวร และไม่มีทางแก้ไขให้กลับคืนมาดีได้เหมือนเดิม ถ้ายังอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเช่นเดิม อาการหูตึงจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาจรุนแรงจนถึงขั้นหูหนวกได้
• ประสาทหูเสื่อมแต่กำเนิด
• สาเหตุทางกรรมพันธุ์
• สาเหตุจากโรคทางกาย เช่น โรคเมเนียส์/น้ำในหูไม่เท่ากัน โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน เป็นต้น
• สาเหตุที่เกิดในสมอง
• หูชั้นในอักเสบ
• การได้รับอุบัติเหตุของหูชั้นใน
• การมีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน
• การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู
3. ประเภทการสูญเสียการได้ยิน ชนิดการรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed hearing loss)
เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติในการนำเสียงบกพร่องร่วมกับประสาทรับเสียงบกพร่อง ซึ่งพบในโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นนอก หูชั้นกลาง ร่วมกับความผิดปกติของหูชั้นใน โรคที่พบ เช่น
• โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังที่ลุกลามเข้าไปในหูชั้นใน
• โรคในหูชั้นกลางของผู้สูงอายุที่มีปัญหาประสาทรับเสียงเสื่อมด้วย
• โรคหินปูนเกาะกระดูกโกลนและมีพยาธิสภาพในหูชั้นในร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม มีผู้สูญเสียการได้ยินจำนวนไม่น้อยที่แพทย์ตรวจแล้วไม่พบสาเหตุ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาการได้ยิน เราพร้อมให้คำปรึกษา
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
เฟซบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
ไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
ความพิการแต่กำเนิดที่ไม่สามารถตรวจพบได้ระหว่างตั้งครรภ์ หนึ่งในนั้นคือ ความพิการทางการได้ยิน ดังนั้นคุณแม่ที่รู้ว่าตัวเองเริ่มตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลและเข้ารับการฝากครรภ์กับแพทย์โดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงการบกพร่องทางการได้ยินที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์
ความบกพร่องทางการได้ยิน
จำแนกได้ 2 กลุ่ม คือ
1. ความบกพร่องทางการได้ยินแต่กำเนิด หรือระหว่างตั้งครรภ์
2. ความบกพร่องทางการได้ยินหลังกำเนิด
1. สาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินแต่กำเนิด หรือระหว่างตั้งครรภ์ :
- ปัจจัยทางพันธุกรรม / กรรมพันธุ์
- ภาวะแทรกซ้อน / โรคติดเชื้ออื่นๆ ระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน ซิฟิลิส ฯลฯ
- ภาวะทารกขาดออกซิเจนแรกคลอด
- การขาดสารอาหารบางตัว เช่น กรดโฟลิก
- การใช้ยาบางตัวระหว่างตั้งครรภ์
- การปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น
ความเสี่ยงเหล่านี้ มักส่งผลทำให้ทารกเกิดการสูญเสียการได้ยิน หรือมีอาการหูตึงมาแต่กำเนิดได้
2. สาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินหลังกำเนิด : เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ
- ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
- คลอดก่อนกำหนด ทารกตัวเหลือง และเข้าตู้อบ
- โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคหัด และโรคคางทูม
- การติดเชื้อเรื้อรังในหู เช่น โรคหูน้ำหนวก หูชั้นกลางอักเสบ
- การใช้ยาที่ก่อให้เกิดพิษต่ออวัยวะและระบบประสาท
- การได้รับบาดเจ็บต่อศีรษะหรือหู
- การฟังเสียงที่ดังเกินไปอย่างต่อเนื่อง
- อาการหูตึงเกิดจากประสาทหูเสื่อมตามอายุ
- ขี้หู (สาเหตุนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงระดับน้อย และสามารถแก้ไขได้ในทันที)
แนวทางการป้องกันและรักษา
ความบกพร่องทางการได้ยินแต่กำเนิด
- ผู้หญิงทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กมีประสาทหูพิการแต่กำเนิด และเมื่อพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการฝากครรภ์ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- ขณะตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง การใช้ยาปฏิชีวนะควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ขณะตั้งครรภ์ ควรระมัดระวังการใช้ชีวิต ระวังการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ และหลีกเลี่ยงการฉายรังสีเอ็กซ์เรย์
- เด็กควรได้รับวัคซีนพื้นฐานครบตามกำหนดเวลา
- เมื่อพบว่าลูกอาจมีอาการหูตึงมาแต่กำเนิดควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อหาทางแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากการฟื้นฟูจะยากหรืออาจไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ใส่เครื่องช่วยฟังและพบนักแก้ไขการพูด เพื่อฝึกพูด การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เด็กสามารถพูดได้
ทุกคนสามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันความบกพร่องทางการได้ยินหลังกำเนิดได้ ทั้งนี้แล้วขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวในการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล และเมื่อใดที่เกิดความบกพร่องทางการได้ยินขึ้น ควรรีบเข้าพบและปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาได้ทันท่วงที
อ่าน พัฒนาการการได้ยินของลูกน้อย สำหรับคุณแม่แรกคลอด เพื่อตรวจเช็คความผิดปกติการได้ยินของลูกน้อยของคุณ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้ยินของลูกน้อย เราพร้อมให้คำปรึกษา
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053-271533, 089-0537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
พอพูดถึงลาบหมู หลายคนคงน้ำลายไหลอยากทานขึ้นมาเลยใช่ไหมครับ? แต่ทราบไหมครับว่า “ลาบหมูดิบ” อาจทำให้คุณถึงตายได้! และหลายรายก็มีอาการ “หูดับ” จนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่นิด เนื่องจากการติดเชื้อจนอักเสบลุกลาม ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดจากอะไร?
บางคนอาจเรียกว่า โรคไข้หูดับ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสสเต็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus Suis) ที่เกิดจากการกินลาบหมูดิบ เมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดแล้วก็สามารถกระจายไปยังเยื่อหุ้มสมองได้ โดยจะแสดงอาการดังนี้
- ไข้ขึ้นสูง ปวดศีรษะ อาเจียน ซึ่งจะเปิดหลังการรับเชื้อไป 2-5 วัน
- ประมาณครึ่งหนึ่งของคนไข้ จะมีอาการหูดับหลังการรับเชื้อไป 3-5 วัน
- บางรายมีอาการแสดงออกทางผิวหนัง เช่นอาการจ้ำเลือด เลือดออกใต้ผิวหนัง
- อาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ไตวาย โลหิตเป็นพิษ
แล้วจะป้องกันอย่างไรดี?
- หลีกเลี่ยงการทานลาบ หลู้ ที่ใช้ส่วนประกอบจากหมูดิบ เช่นเนื้อหมูดิบ เลือดหมู
- เมื่อมีแผล ต้องระมัดระวังในการสัมผัสกับเนื้อหมู
- หากเลี้ยงหมู ควรดูแลสถานที่ให้ถูกสุขอนามัย และสวมถุงมือ สวมรองเท้าบู๊ท ระหว่างปฏิบัติงาน
- เลือกซื้อเนื้อหมูจากสถานที่ที่ไว้ใจได้ และไม่เลือกเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ
ถ้าหูดับจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะกลับมาได้ยินได้ไหม?
ถ้าหูดับหรือหูหนวก โดยส่วนมากแล้วเซลล์รับเสียงในหูชั้นในจะถูกทำลายไปจนไม่เหลือพอที่จะทำหน้าที่รับสัญญาณเสียงจากเครื่องช่วยฟังได้
อีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาคือ การผ่าตัดประสาทหูเทียม
ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นประสาทการได้ยิน และผ่านไปยังสมองโดยตรง
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับประสาทหูเทียม คลิกที่นี่
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ เรื่องการเบิกประสาทหูเทียม คลิกที่นี่
เราพร้อมให้คำปรึกษาหูดับ ประสาทหูเทียม
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai
หลายคนสงสัยว่าประสาทหูเทียมดีกว่าเครื่องช่วยฟังอย่างไร ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนเข้าใจหลักการทำงานของประสาทหูเทียมในลิงก์นี้ รู้จักกับประสาทหูเทียม คลิกที่นี่
และสำหรับผู้ใช้งานเครื่องช่วยฟังอยู่แล้ว อยากให้ลอง…
สำรวจตัวเอง ดังนี้
- คุณมักจะขอให้คนอื่นพูดซ้ำแม้ว่าจะอยู่ในห้องเงียบๆ ก็ตาม หรือไม่?
- คุณต้องพึ่งการอ่านปาก หรือไม่?
- คุณต้องเลี่ยงกิจกรรมทางสังคมต่างๆ เพราะคุณอาจตามไม่ทัน ในสิ่งที่คนกำลังพูด หรือไม่?
- คุณรู้สึกเหนื่อยเมื่อหมดวัน เนื่องจากการใช้สมาธิหมดไปอย่างมากกับการฟัง หรือไม่?
- คุณมีความยากลำบากในการตามงานให้ทัน หรือไม่?
- การพูดคุยทางโทรศัพท์เป็นเรื่องยาก คุณจึงเลี่ยงที่จะใช้มัน หรือไม่?
- การฟังเพลงไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว หรือไม่?
หากคุณตอบว่าใช่ในคำถามข้อใดก็ตาม คุณอาจเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่พร้อมต่อการผ่าตัดประสาทหูเทียม
ยิ่งคุณได้รับการผ่าตัดประสาทหูเทียมเร็วเท่าไหร่ คุณก็จะเริ่มได้ยินและสนุกสนานไปกับชีวิตของคุณได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ข้อดีของ ประสาทหูเทียม
ประสาทหูเทียมนั้นก่อให้เกิดความก้าวหน้าที่รวดเร็วกว่าเครื่องช่วยฟัง โดยเฉพาะในส่วนของการเข้าใจคำพูด พึงระลึกไว้ว่าการสูญเสียการได้ยินของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป แต่ละคนอาจได้รับประสบการณ์การได้ยินที่ต่างกันจากประสาทหูเทียมของพวกเขา คุณจึงควรพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินของคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณเป็นรายบุคคล
รู้หรือไม่ว่า…
หากคุณมีการสูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง หรือหูหนวกทั้งสองข้าง การผ่าตัดประสาทหูเทียมทั้งสองข้าง (Bilateral) จะช่วยมอบประสบการณ์การได้ยินที่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น นี่เป็นตัวเลือกที่คุณสามารถปรึกษากับนักแก้ไขการได้ยินหรือศัลยแพทย์ของคุณได้
ศูนย์สุขภาพการได้ยินอินทิเม็กซ์ เชียงใหม่
โทร: 053271533, 0890537111
คุยเฟสบุ๊ค: m.me/hearingchiangmai
คุยไลน์: line.me/ti/p/%40hearingchiangmai