เสียงดังในหู
กำลังบอกอะไรกับคุณ…
เสียงดังในหู เสียงวิ้งในหู หรือ ภาวะหูอื้อ
(Tinnitus)
เสียงดังในหู หรือ ภาวะหูอื้อ (Tinnitus) คือ อาการที่ได้ยินเสียงกริ๊ง เสียงวิ้ง เสียงหวือ เสียงหึ่ง หรือเสียงคลิก เสียงที่ดังขึ้นจากภายในหูหรือในหัว โดยไม่มีแหล่งกำเนิดเสียงจากภายนอก เสียงอาจเบาหรือดัง เกิดขึ้นได้กับหูทั้งสองข้างหรือข้างเดียว
อาการนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่สำหรับอีกหลายๆ คน มันสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างมหาศาล ในช่วงแรกอาจมาๆ หายๆ แต่หากอาการยังคงอยู่เป็นเวลานานกว่า 6 เดือน อาจกลายเป็นภาวะเรื้อรังที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างคาดไม่ถึง ตั้งแต่การนอนหลับที่ไม่สนิท สมาธิที่สั้นลง ไปจนถึงความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
เสียงดังในหู บอกอะไร…
เมื่อมีอาการเสียงดังในหูอย่างต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือน นั่นอาจไม่ใช่แค่ความรำคาญธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่า ระบบการได้ยินอาจกำลังมีปัญหา ซึ่งต้นตอของปัญหาอาจอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของหู เส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างหูชั้นในกับสมอง หรือแม้แต่สมองส่วนที่ทำหน้าที่รับเสียงเอง
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะนี้ คือ การสูญเสียการได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียการได้ยินตามอายุ (Presbycusis) หรือ การสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง (NIHL) แต่มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น นักวิจัยเชื่อว่า เสียงดังในหู เป็นเหมือนการที่สมองพยายาม “เติมเต็ม” ช่องว่างของเสียงที่หายไป เมื่อสมองขาดสิ่งกระตุ้นทางการได้ยิน มันจึงสร้างเสียงขึ้นมาเอง เพื่อชดเชยความถี่ที่ขาดหายไปนั้น
อย่างไรก็ตาม อาการเสียงดังในหูไม่ได้มาจากแค่การสูญเสียการได้ยินเพียงอย่างเดียว มันสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทำให้การวินิจฉัยสาเหตุที่แท้เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก
สาเหตุ เสียงดังในหู หรือ ภาวะหูอื้อ
สิ่งที่ทุกคนควรตระหนัก คือ โรคประจำตัวเรื้อรังต่างๆ การประเมินอาการอย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะบางครั้งอาการนี้อาจเป็นสัญญาณแรกของปัญหาสุขภาพ นอกจากโรคประจำตัวเรื้อรังแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อภาวะนี้ด้วยเช่นกัน
• โรคหัวใจและหลอดเลือด : หากเสียงในหูของคุณเป็นแบบมีจังหวะตามการเต้นของหัวใจ (Pulsatile Tinnitus) นั่นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดที่ต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียด
• ความดันโลหิตสูง : ปัจจัยนี้สามารถทำให้ เสียงดังในหู ชัดเจนขึ้น เนื่องจากมีผลต่อการไหลเวียนของเลือดในหูและบริเวณใกล้เคียง
• โรคเบาหวาน : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานอาจทำลายเส้นประสาทในระบบการได้ยินและส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตในหูชั้นใน ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียการได้ยินและภาวะเสียงดังในหูในที่สุด
• ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ : ฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญของระบบการได้ยิน การรักษาภาวะไทรอยด์ที่เป็นต้นเหตุจึงช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• โรคภูมิต้านทานตนเอง : โรคบางชนิด เช่น โรคลูปัส หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อหูชั้นในและเส้นประสาทการได้ยิน ทำให้สมองสร้างเสียงภายในขึ้นมาเองเพื่อชดเชย
• หวัดและปัญหาไซนัส : อาการคัดจมูกจากหวัดรุนแรงหรือการติดเชื้อไซนัส อาจทำให้เกิดแรงดันผิดปกติในหูชั้นกลาง ส่งผลต่อการได้ยินและนำไปสู่อาการ เสียงดังในหู
• พยาธิสภาพของหูชั้นใน : เช่น โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือโรคเมเนียร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ สูญเสียการได้ยิน และเสียงดังในหูร่วมด้วย
• การติดเชื้อในหู : การติดเชื้ออาจทำให้เกิดการอุดตัน เช่น การสะสมของขี้หู ซึ่งอาจนำไปสู่อาการเสียงดังในหู
• ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร (TMJ) : ปัญหาที่ข้อต่อนี้อาจส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อ เอ็น และเส้นประสาทในบริเวณหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเสียงดังในหูร่วมกับอาการปวดขากรรไกรได้
• การบาดเจ็บ : ทั้งการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ หรือการบาดเจ็บจากแรงดัน เช่น การดำน้ำลึกหรือกระโดดร่ม
• การใช้ยาบางชนิด : ยาบางประเภทอาจเป็นพิษต่อหู (Ototoxic drugs) ทำให้เกิดความเสียหายต่อหูชั้นในได้
• ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ : ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้อาการเสียงดังในหูแย่ลงได้ นอกจากนี้การศึกษาบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าอาหารบางชนิด เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก และไขมันที่สูง อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะนี้ ในขณะที่วิตามินบี 12 อาจช่วยลดความเสี่ยงได้
¹งานวิจัยจากสถาบันโสตวิทยาชั้นนำแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคหูอื้อจำนวนมากมากถึง 90% มักมีภาวะสูญเสียการได้ยินในระดับหนึ่ง บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยโรคหูอื้อมักไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังสูญเสียการได้ยิน
เสียงดังในหู หรือภาวะหูอื้อ อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณแรกๆ ที่บ่งบอกว่าความเครียดในชีวิตกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิต งานวิจัยนี้ได้ศึกษาผู้ใหญ่ที่มีอาการเสียงดังในหู พบว่า ส่วนใหญ่มีอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีความเครียดปานกลางถึงสูง หลายคนยังรายงานว่ามีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลในระดับสูงอีกด้วย
แนวทางการจัดการและบรรเทาอาการ เสียงดังในหู
แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลกับทุกคน แต่ก็มีแนวทางที่มีประสิทธิภาพและอ้างอิงหลักฐานที่เชื่อถือได้ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณควบคุมการรับรู้เสียงและลดผลกระทบต่อการใช้ชีวิต แม้ว่าอาการจะยังคงอยู่ก็ตาม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการจัดการและบรรเทาอาการเสียงดังในหู
• การบำบัดด้วยเสียง (Sound Therapy) : เป็นวิธีที่ใช้เสียงจากภายนอก เช่น เสียงธรรมชาติ หรือเสียงสีขาว เพื่อกลบหรือเบี่ยงเบนความสนใจจากเสียงรบกวนในหู หลักการคือเมื่อมีเสียงรอบข้างที่ชัดเจนขึ้น สมองจะสนใจเสียงนั้นมากกว่าเสียงหูอื้อที่เกิดขึ้น
• การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) : การบำบัดรูปแบบนี้ไม่ได้มุ่งรักษาที่อาการโดยตรง นักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์จะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนปฏิกิริยาทางอารมณ์และความคิดเชิงลบที่มีต่ออาการเสียงดังในหู ซึ่งช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่อาจทำให้อาการแย่ลง
• การบำบัดฟื้นฟูการได้ยินในหู (Tinnitus Retraining Therapy – TRT) : วิธีนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการบำบัดด้วยเสียงกับการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฝึกสมองให้คุ้นชินและเรียนรู้ที่จะกรองเสียงในหูออกไปได้เอง คล้ายกับการที่เราไม่รู้สึกถึงแว่นตาที่สวมอยู่บนจมูกอีกต่อไปเมื่อเวลาผ่านไป
• เครื่องช่วยฟัง : เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการเสียงดังในหูมาพร้อมกับการสูญเสียการได้ยิน เครื่องช่วยฟังจะช่วยเพิ่มระดับเสียงจากสิ่งแวดล้อม ทำให้สมองได้รับสิ่งกระตุ้นภายนอกที่จำเป็น ซึ่งจะช่วย “ลด” การรับรู้เสียงภายในได้ นอกจากนี้เครื่องช่วยฟังดิจิทัลสมัยใหม่หลายรุ่นยังมีโปรแกรมบำบัดเสียงในหู (Tinnitus SoundSupport) ในตัว ทำให้สามารถเล่นเสียงที่ผ่อนคลายเพื่อบรรเทาอาการได้โดยตรง
แนวทางเพิ่มเติม เพื่อช่วยบรรเทาอาการ
นอกเหนือจากการบำบัดเฉพาะทางแล้ว การแก้ไขปัญหาที่อาจเป็นต้นเหตุของอาการก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
• แก้ไขปัญหาสุขภาพพื้นฐาน : การรักษาภาวะต่างๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับ สามารถช่วยลดผลกระทบจากอาการเสียงดังในหูได้
• การปรับพฤติกรรม : หากอาการเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น การกัดฟัน หรือความตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอ การนวดบำบัดอาจช่วยบรรเทาอาการได้
• การพิจารณายา : หากอาการเสียงดังในหูเป็นผลข้างเคียงจากยาที่คุณใช้อยู่ เช่น แอสไพริน หรือยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด การปรึกษาแพทย์เพื่อปรับปริมาณยาหรือเปลี่ยนยาอาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
แม้ว่าบางครั้งอาการเสียงดังในหู อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนและไม่มีการสูญเสียการได้ยินร่วมด้วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณที่ร่างกายกำลังเตือน
หากคุณหรือคนรอบข้างมีอาการเสียงดังในหูอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง และหาแนวทางในการจัดการอาการอย่างเหมาะสม อย่าปล่อยให้เสียงดังในหูรบกวนคุณภาพชีวิตของคุณ เพราะการรับมือกับมันตั้งแต่เนิ่นๆ คือ กุญแจสำคัญสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
บรรเทาอาการเสียงดังในหู ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องช่วยฟัง พร้อมให้คำแนะนำ
เมื่อผลตรวจปกติ ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างปกติ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน พบว่า ผู้ป่วยเสียงดังในหูหลายรายที่มีผลตรวจการได้ยินปกติ อาจมีความเสียหายแฝงที่ยังไม่รุนแรงพอที่จะตรวจพบด้วยการทดสอบทั่วไป ความเสียหายนี้มักเกิดจากการได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น เสียงเพลงหรือเครื่องจักรที่ดัง หรือแม้แต่เสียงดังรุนแรงในครั้งเดียว เช่น เสียงระเบิด ทั้งนี้การจะทำให้การได้ยินเปลี่ยนแปลงจนตรวจพบได้ด้วยการทดสอบ Pure-Tone ต้องมีการสูญเสียเซลล์ขนจำนวนมาก การทดสอบที่ละเอียดกว่าอย่าง OAE และ ABR อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง